tag:blogger.com,1999:blog-13680440224926944302024-03-13T19:34:49.069-07:00อ้อย.com เป็นไม้ล้มลุกAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.comBlogger31125tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-44421893418599417002013-06-28T23:27:00.001-07:002013-06-28T23:27:38.009-07:00การปลูกอ้อยข้ามแล้ง <span style="color: blue;"><b>การปลูกอ้อยข้ามแล้ง</b></span><br /><img alt="http://www.xn--12ca4dscc8ayd2f.com/wp-content/uploads/2010/01/1239885614_60301239885614_6030-300x225.jpg" class="decoded" src="http://www.xn--12ca4dscc8ayd2f.com/wp-content/uploads/2010/01/1239885614_60301239885614_6030-300x225.jpg" /><br /> <span style="color: red;"><b> เทคนิคการปลูกอ้อยข้ามแล้ง</b></span><br /> การปลูกอ้อยข้ามแล้งเป็นการเพิ่มผลผลิตอ้อยโดยไม่ต้องอาศัยน้ำชลประทานแต่อาศัยความชื้นในดินช่วยให้อ้อยเจริญเติบโตจนถึงต้นฤดูฝน และทำการเก็บเกี่ยวเมื่อถึงช่วงเปิดหีบของโรงงาน ระหว่างเดือนธันวาคม – มีนาคม ซึ่งอ้อยจะโตเต็มที่และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง<br /> ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ<br /><br /> ได้ผลผลิตต่อไรสูงขึ้นกว่าการปลูกอ้อยในฤดูฝน<br /> อ้อยที่นำเข้าหีบมีคุณภาพความหวานสูง<br /> เพิ่มผลผลิตในกลุ่มอ้อยพันธุ์เบาให้สูงขึ้น<br /> ลดต้นทุนการผลิตอ้อย เช่น การกำจัดวัชพืชน้อยลง<br /> ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสูง<br /><br /> ขั้นตอนการปลูกอ้อยข้ามแล้ง<br /><br /> การคัดเลือกพื้นที่ปลูก<br /><br /> พื้นที่ที่จะใช้ปลูกอ้อยข้ามแล้งต้องมีหน้าดินลึกมากกว่า 50 เซนติเมตร เป็นดินร่วนปนทราย<br /> ดินมีการระบายน้ำดี<br /> เป็นพื้นที่ราบ ลาดชันไม่เกิน 2 องศา<br /> ไม่มีชั้นดินดานหนามาก<br /> ไม่ควรปลูกอ้อยข้ามแล้งในดินเหนียวจัด<br /> มีปริมาณน้ำฝนพอเพียง<br /> ทางคมนาคมสะดวก<br /><br /> การวางแผนการใช้พื้นที่<br /><br /> เก็บพื้นที่ไว้เพื่อพักดิน เป็นการตัดวงจรของโรคและแมลงและทำการปลูกพืชหมุนเวียน เช่น ข้าวโพด ถั่ว เป็นต้น<br /> พื้นที่ที่ไม่สามารถพักดินได้ จำเป็นต้องปลูกอ้อยอย่างต่อเนื่อง มีข้อควรปฏิบัติดังนี้<br /> พรวนดินด้วยคราดสปริง หรือระเบิดดินดานในอ้อยตอเพื่อเป็นการเก็บรับน้ำฝนในช่วงฤดูฝน<br /> มีการวางแผนตัดอ้อยต้นฤดูหรือในช่วงที่โรงงานน้ำตาล เปิดหีบ<br /> การเตรียมดินปลูกอ้อยข้ามแล้งต้องเตรียมอย่างต่อเนื่อง<br /> ควรปลูกด้วยเครื่องปลูก<br /><br /> การเตรียมดิน<br /><br /> การเปิดหน้าดินรับน้ำฝนในเดือนกรกฎาคม เพื่อรองรับน้ำฝนที่จะตกในเดือนสิงหาคมและกันยายน จะเก็บน้ำฝนได้มาก ดินจะมีความชื้นพอหล่อเลี้ยงต้นอ้อย เป็นการกำจัดวัชพืชและแมลงใต้ดินได้<br /> การเตรียมดินพร้อมปลูก ชาวไร่อ้อยที่ปลูกอ้อยข้ามแล้งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นกับการเตรียมดินต้องไม่ให้สูญเสียความชื้นไปมาก เตรียมดินโดยการไถด้วยผาล 3 หรือผาล 4 และต้องมีการพรวนดินด้วยผาล 7 หรือผาล 20 จาน<br /><br /> การเตรียมท่อนพันธุ์<br /><br /> อายุของพันธุ์อ้อยที่เหมาะสม อยู่ระหว่าง 8-10 เดือน ท่อนพันธุ์จะเริ่มงอกรากออกมาก่อนและงอกตาตามทีหลังระบบรากที่แข็งแรง จะผ่านฤดูแล้งได้ดี และมีหนอนกอเข้าทำลายน้อย<br /> เมื่อตัดท่อนพันธุ์แล้ว ต้องปลูกให้เสร็จภายใน 3-5 วัน ถ้าทิ้งไว้จะทำให้จุดเจริญของรากและตาเสียไป<br /><br /> การปลูกอ้อยข้ามแล้ง<br /><br /> ระยะเวลาปลูก แบ่งตามความสูงของพื้นที่ได้ 2 กลุ่มดังนี้<br /> พื้นที่ดอน ระยะเวลาปลูกควรอยู่ระหว่างปลายตุลาคม – กลางธันวาคม ของทุกปี<br /> พื้นที่ลุ่ม ควรปลูกให้เสร็จระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมของทุกปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ฝนหยุดตก<br /> วิธีการปลูก แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ<br /> ปลูกด้วยเครื่องปลูก จะทำให้ความชื้นในดินสูญเสียน้อยและลดค่าแรงในการปลูก ชาวไร่ต้องมีความรู้เรื่องการใช้เครื่องจักรพอสมควร<br /> ปลูกด้วยแรงงานคนและใช้รถไถเดินตามกลบท่อนพันธุ์ชาวไร่อ้อยต้องเตรียมความพร้อม โดยการยกร่องปลูก วางท่อนพันธุ์ โรยปุ๋ยและกลบท่อนพันธุ์ ทำแต่ละขั้นตอนด้วยความรวดเร็ว ถ้าหากช้าจะทำให้ความชื้นรอบท่อนพันธุ์ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ปุ่มรากจากท่อนพันธุ์งอกเฉพาะบริเวณที่ดินมีความชื้นเท่านั้น การปลูกอ้อยข้ามแล้งต้องให้ท่อนพันธุ์อยู่ในดินที่มีความชื้นรอบท่อนพันธุ์ และจะทำให้รากชั่วคราวจากพันธุ์งอกได้รวดเร็วสร้างรากถาวรจากหน่อได้ดี<br /><br /> ความหนาของการกลบท่อนพันธุ์อ้อยในการปลูกอ้อยข้าวแล้ง<br /><br /> ปลูกเดือนตุลาคม กลบดินหนาประมาณ 2 นิ้ว<br /> ปลูกเดือนพฤศจิกายน กลบดินหนาประมาณ 3 นิ้ว<br /> ปลูกเดือนธันวาคม กลบดินหน้าประมาณ 4 นิ้ว<br /><br /> ในเดือนตุลาคมดินยังมีความชื้นสูงอยู่ ต้องทำการพรวนดินในร่องอ้อยเพื่อให้ดินร่วนซุย ถ้าไม่พรวนเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ หน่ออ้อยไม่สามารถแทงพื้นดินได้<br /> การดูแลและบำรุงรักษา<br /><br /> การดูแลแปลงอ้อยหลังปลูก (ช่วงผ่านแล้ง) การพรวนดินจะช่วยให้ความชื้นในดินไม่สูญเสียไป ช่วยลดอุณหภูมิที่ผิวดิน ทำให้อ้อยแล้งแตกกอมากขึ้นทำลายไข่แมลงศัตรูอ้อยตามผิวดิน ควรพรวนดิน เพื่อเพิ่มระดับความชื้นในดิน<br /> การดูแลแปลงอ้อยช่วงหลังฝน อ้อยข้ามแล้งส่วนใหญ่จะเริ่มคลุมร่องอ้อย การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ชาวไร่ควรพิจารณาการใช้สารเคมีให้เหมาะสมกับวัชพืช โดยปฏิบัติควบคู่ไปกับการใส่ปุ๋ย<br /><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-52428607475137569662013-06-28T23:25:00.003-07:002013-06-28T23:25:46.543-07:00การปลูกอ้อยและวิธีการเพิ่มผลผลิตอ้อย<h3 class="post-title entry-title" style="background-color: white; font: 18px Arial,Tahoma,Helvetica,FreeSans,sans-serif; margin: 0px; position: relative;">
<span style="color: blue;"><b>การปลูกอ้อยและวิธีการเพิ่มผลผลิตอ้อย</b></span></h3>
<div class="post-header" style="background-color: white; color: #999999; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 1.6; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; margin-right: 0px; margin-top: 0px;">
<div class="post-header-line-1">
</div>
</div>
พูดเรื่องมันสำปะหลังมาก็นานนมแล้ว
วันนี้พักสมองเปลี่ยนมาคุยกันเรืองอ้อยบ้างดีกว่านะค่ะ
ส่วนใหญ่แล้วคนที่ปลูกอ้อย ก็ มักจะสนใจปลูกมันสำปะหลังด้วย หลักการง่ายๆ
โดยการสังเกตุส่วนตัวของปริมเองนะค่ะ ว่าถ้าให้เลือกระหว่างปลูกอ้อย หรือ
มันสำปะหลังดี ก่อนอื่นเราต้อง มาดูที่ดินของเราก่อนว่า ถ้าเป็นดินเหนียว
หรือร่วนปนดินลูกรัง แน่นอนว่าไม่ควรปลูกมันสำปะหลัง เพราะมันแทงหัวยาก
ทำให้หัวเล็ก ถ้าจะปลูกจริงๆ ก็ใช้การยกร่องสูงๆๆๆ เข้ามาช่วยค่ะ
แต่ถ้าเป็นดินเหนียว , ร่วนทราย , ทราย , ลูกรัง
แบบนี้เอาพื่้นที่ไปปลูกอ้อยดีกว่า
<br />
มาดูระยะการเจริญเติบโตของอ้อยกันก่อนมีดังนี้นะค่ะ<br /><br />
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
1.<u><span style="color: maroon; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">ระยะงอก</span></u><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> ประมาณ </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">2-3 สัปดาห์</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> </span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
2.<u><span style="color: maroon; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">ระยะแตกกอ</span></u><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> อายุประมาณ </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">1.5 เดือนเป็นต้นไป</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> มากที่สุดอยู่</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">ระหว่าง 2.5-4 เดือน</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';">หน่อที่แตกออกมาทั้งหมดในระยะแตกกอนี้จะเหลือเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"></span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"></span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
3.<u><span style="color: maroon; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">ระยะย่างปล้อง</span></u><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';">มีการเพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวของปล้องอย่างรวดเร็ว</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">อายุประมาณ 3-4 เดือน จนถึงอายุประมาณ 7-8 เดือน </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';">หลังจากนั้นการเจริญเติบโตจะมีช้าลง</span><span style="color: black; font-family: Arial;"> </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';">มีการสะสมน้ำตาลเพิ่มขึ้น</span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
4.<u><span style="color: maroon; font-family: 'Eucrosia News'; font-weight: bold;">ระยะแก่และสุก</span></u><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';">อัตราการเจริญเติบโตช้าลงมาก</span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"> </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';">เมื่อการเจริญเติบโตช้าลง การสะสมน้ำตาลจึงมีมากขึ้น </span><span style="color: black; font-family: 'Eucrosia News';"></span></div>
<br />
(ขอขอบคุณข้อมูลจากอาจารย์ กฤชนนทร์ นะค่ะ)<br /><br /><br />
เกริ่นมาซะยาว เอาละ มาว่ากันถึงวิธีการปลูกอ้อยกัน
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1368044022492694430"><br /><br /><span class="Apple-style-span" style="color: red;"><u><b>1. ฤดูการปลูกอ้อย มีสองฤดูปลูกคือ</b></u></span></a>
<br />
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1368044022492694430"><br /></a>
<br />
<div style="text-align: justify;">
1.1 การปลูกอ้อยข้ามแล้ง คือการปลูกในช่วงเดือน ต.ค.- ธ.ค.
ข้อดีของการปลูกช่วงนี้คือ ไม่ค่อยมีหญ้า
และอ้อยได้จำนวนอายุหลายเดือนก่อนตัดส่งโรงงาน แต่ข้อเสียก็คือ งอกช้า
เวลาปลูกต้องหยอดน้ำไปพร้อมท่อนพันธุ์ด้วยถึงจะดี</div>
<div style="text-align: justify;">
1.2 การปลูกอ้อยฤดูฝน คือการ ปลูกอ้อยหน้า ก.พ.-พ.ค. ช่วงนี้อ้อยจะโตเร็ว
งอกเร็ว แต่อ้อยจะมีอายุน้อย ผลผลิตไม่เต็มที่
เพราะต้องตัดส่งโรงงานในช่วงเปิดหีบ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว
โรงงานจะเปิดหีบประมาณเดือน พ.ย-เม.ย. ซึ่งแล้วแต่พื้นที่
แล้วแต่โรงงานว่าจะเปิดหรือปิดช่วงไหน เราไม่สามารถกำหนดเวลาตัดเองได้</div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
ดังนั้นปริมจึงแนะนำให้ปลูกอ้อยข้ามแล้ง จะทำให้อ้อยมีอายุเลย 10 เดือนกำลังโตเต็มที่ น้ำหนักดี ให้ค่า CCS สูง</div>
<br /><span class="Apple-style-span" style="color: red;"><u><b>2. การเตรียมดิน</b></u></span>
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1368044022492694430"><br /></a>
<div style="text-align: justify;">
ขั้นตอนนี้สำคัญมากสำหรับการปลูกอ้อย ถ้าดูแลในขบวนการนี้ดีๆ
อ้อยจะสามารถเก็บไว้ได้หลายตอ และให้ผลผลิตสูง
การปลูกอ้อยถ้าละเลยขั้นตอนนี้ในปีถัดๆ
ไปผลผลิตจะลดลงมากเก็บได้อย่างเก่งไม่เกิน 2 ตอ
การไถต้องทำดินให้ร่วนซุยที่สุด และไถให้ลึก โดยการใช้ ริบเปอร์
ระเบิดดินดาน
การไถถึงชั้นดินดานทำให้มีละอองน้ำจากชั้นดินดานระเหยมาล่อเลี้ยงรากอ้อยได้
เพราะว่ารากอ้อยจะลงลึกกว่า 50 ซม.
ดูรูปเครื่องระเบิดดินดานจากรูปด้านล่างค่ะ</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="240" src="http://1.bp.blogspot.com/-hwgOYp0luDY/Td0X65eXBFI/AAAAAAAAARQ/uhChc8FWa_Q/s320/IMGP5229.JPG" style="border-style: none; position: relative;" width="320" /></div>
<br />
ความจริงมีต้วที่ยาวกว่านี้นะค่ะ สำหรับริปเปอร์ตัวนี้ ยังสั้นอยู่ ดูรูปด้านล่างประกอบอีกที แต่ไม่ค่อยชัดนะค่ะ<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="251" src="http://3.bp.blogspot.com/-vGq0kj9WbTw/Td0avwMSuJI/AAAAAAAAARU/g9KqkTXR98c/s320/1.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="320" /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-gC4QZHL8QOk/Td0awi_ecqI/AAAAAAAAARY/DrIxRUcpr48/s320/2.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="215" /></div>
นึกหน้าตาของมันออกอยู่น้อ เป็นงวงยาวๆ แบบนี้ละค่ะ ใช้ไถระเบิดดินดาน ทำให้ดินกักเก็บความชื้นได้ดี ดินร่วนซุยดีด้วย<br /><br /><u><span class="Apple-style-span" style="color: red;">3. การปลูกอ้อยร่องคู่</span></u>
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1368044022492694430"><br /></a>
<div style="text-align: justify;">
แต่ก่อนเกษตรกรนิยมปลูกอ้อยแบบร่องเดี่ยว
แม้แต่เครื่องจักรยังเป็นแบบร่องเดี่ยวอยู่เลย ที่แนะนำให้ปลูกคือ
ปลูกแบบร่องคู่ ทำให้จำนวนประชากรของอ้อยเพิ่มขึ้น
เมื่อจำนวนประชากรอ้อยเพิ่มขึ้น น้ำหนักต่อไร่ของอ้อยก็เพิ่มจำนวนได้ค่ะ
ดูรูปจากรูปด้านล่างนะค่ะ</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="240" src="http://1.bp.blogspot.com/-ysWUjIStIFU/Td0cdgLXoHI/AAAAAAAAARc/vlqI-VL4xgc/s320/IMG314.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="320" /></div>
<div style="text-align: justify;">
จากรูปจะเห็นได้ว่า ระยะห่างระหว่างร่องแต่ละร่อง คือ 120 ซม.
แล้วระยะห่างของแถวสองแถวในร่องคือ 50 ซม. ดูจากรูปจะเข้าใจง่ายค่ะ
ถ้าเวลาซื้อรถปลูก ก็จะรถปลูกแบบร่องคู่แบบนี้มาขายแล้วไม่ต้องห่วงค่ะ ^__^
ไม่ได้ลำบากอะไร</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
แต่ว่าขั้นตอนทีสำคัญต้องอย่าลืมรองพื้นด้วยปุ๋ยอินทรีย์นะค่ะ
ที่ปริมแนะนำคือ ปุ๋ยวันเดอร์สูตรสีเขียว เป็นอินทรีย์+กรดอะมิโน
ทำให้อ้อยมามีความอวบเขียว แตกยอกเร็ว การใช้ก็ไร่ละกระสอบ
วันเดอร์เขียวตามรูปภาพด้านล่าง</div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-ZeZ3r2ZXOpU/Td0dupbiOnI/AAAAAAAAARg/iIyclbK6tmg/s1600/Green%252520woder.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
ถ้าใครไม่อยากใช้ของปริมก็ สามารถใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ยี่ห้ออื่นได้นะค่ะ
แต่การรองพื้นขอให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์เลือกที่ดีๆ
หน่อยอย่าเอาถูกมากจนมีแต่ดินไม่มีอินทรีย์วัตถุเลย
จะปลุกอ้อยทั้งทีอย่าขี้เหนียวปุ๋ยรองพื้นนะคะ
แต่ไม่แนะให้เป็นเคมีรองพื้นนะ เพราะว่าอ้อยยังไม่งอกเลย
ปุ๋ยเคมีมันละลายหมดแล้วกินได้ไม่ถึง 15 วันยังไม่ได้งอกเลยหมดฤทธิ์ซะแล้ว
ถ้ามีขี้เค้ก ขี้วัว ขี้ควาย นั่นแหละค่ะของดี ใส่ลงไปเลยเป็นตันได้ยิ่งดี
ขึ้นตอนนี้ห้ามละเลยถ้าอยากเก็บอ้อยไว้ได้หลายๆ ตอ
อย่าขี้เหนียวนะขึ้นตอนนี้ ถ้าไม่มีตังส์ซื้อปุ๋ยจริงๆ
ให้อัดปุ๋ยรองพื้นนี่แหละ ดีที่สุดค่ะ
แต่ถ้าใส่ตามช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตของมันจะดีกว่านะค่ะ ^__^</div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
แต่ยังก่อน ยังไม่จบ ตอนนี้มีการปลูกอ้อยแบบร่อง 4 ด้วยนะค่ะ
เพิ่มจำนวนประชากรอ้อยได้มากขึ้นไปอีก แต่การปลูกร่อง 4 ปริมยังไม่แนะนำ
รอดูฤดูกาลเก็บเกี่ยวปีนี้ก่อนให้รู้ว่าได้ผลผลิตกี่ตันต่อไร่
จะสู้ร่องคู่ได้ใหม ปริมเห็นลูกค้า บริษัท ขุนพลกรุ๊ป เขาปลูก
เลยขออนุญาติเก็บรูปในแปลงของพี่เค้ามาโชว์ให้ดูนะค่ะ</div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="240" src="http://3.bp.blogspot.com/-U3UqDZW70-Q/Td0faRMyl5I/AAAAAAAAARk/paufQWig3do/s320/IMG125.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="320" /></div>
<div style="text-align: center;">
นี่เครื่องปลูกร่อง 4 นะค่ะ</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="240" src="http://1.bp.blogspot.com/-9NqoHNwCIUs/Td0gZKzic7I/AAAAAAAAARo/ifZ3rhGpuxE/s320/IMG252.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="320" /></div>
<div style="text-align: center;">
งอกระยะแรกๆ สังเกตุเห็นใหมค่ะว่าเป็นร่อง 4 นะ </div>
<br /><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="240" src="http://3.bp.blogspot.com/-yNeY_ZkHnIk/Td0gqexIyPI/AAAAAAAAARs/uui9BDp26DE/s320/03032011_034.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="320" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
นี่งอกได้ประมาณ 2 เดือน ดูความหนาแน่นของประชากรอ้อย</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<u><b style="background-color: white;"><span class="Apple-style-span" style="color: red;">4. การจัดการะบบน้ำ </span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: justify;">
อ้อยมีความต้องการปริมาณน้ำในแต่ละช่วงไม่เท่ากัน
ระยะงอกต้องการความชื้้นที่พอเหมาะน้ำไม่ขัง
ให้มีความชื้นนิดหน่อยยอดอ้อยก็สามารถแตกยอดขึ้นมาได้ แต่ในระยะ 1- 3
เดือนนี้ อ้อยต้องการน้ำในปริมาณที่มากและต้องไม่ขาดน้ำในช่วงนี้
ดังนั้นในช่วงนี้ถ้าอ้อยขาดน้ำจะชงักการเจริญเติบโต ต้นแคระแกรน
ที่สำคัญคนที่ปลูกอ้อยข้ามแล้งจะเจอปัญหาอ้อยขาดน้ำ
ในช่วงนี้แนะนำให้ใช้วิธีการปล่อยน้ำลาด หรือให้ฉีดพ่นทางใบให้กับอ้อย
ได้ทั้งน้ำได้ทั้งปุ๋ย ทำให้อ้อยโตเร็วหนี้หญ้าได้
ปุ๋ยน้ำที่ปริมแนะนำให้ใช้ในช่วงนี้คือ ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ นาโนอะมิโน +
บูตเตอร์สีเงิน จะทำให้อ้อยโตเร็วต้อนรับช่วงย่างปล้องได้เร็ว
และบูตเตอร์เงินจะทำให้ลำต้นของอ้อยแข็่งแรง ป้องกันโรคหนอนกอเจาะได้
รูปของปุ๋ยน้ำและบูตเตอร์ดังด้านล่าง </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-DS4gevJxYcc/Td0k543T6aI/AAAAAAAAARw/xoWmf_j9nH4/s1600/I04.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-toUILAbPMbI/Td0k6i-fbeI/AAAAAAAAAR0/aAqy7QsBNVU/s1600/I06.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: justify;">
อันนี้ใช้ผสมน้ำฉีดพ่นทางใบนะค่ะ ในอัตราส่วน 50-100 CC ต่อน้ำ 20 ลิตร
สำหรับใครที่ไม่อยากใช้ก็ไม่ว่ากันค่ะ จะราดน้ำเฉยๆ หรือฉีดน้ำเฉยๆ
ก็ได้ค่ะ แต่ให้ปุ๋ยไปด้วยจะทำให้อ้อยโตเร็วมาก
เข้าสู่ช่วงย่างปล้องเร็วมาก </div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
<span class="Apple-style-span" style="color: red;"><u><b>5. การใส่ปุ๋ยให้ถูกช่วงเวลา</b></u></span> </div>
<div style="text-align: left;">
<div style="text-align: justify;">
ปุ๋ยทุกอย่างดีหมด ถ้าเรารู้จักใช้ให้ถูกกับเวลาและการเจริญเติบโตของพืช
เช่นในระยะ จะเข้าสู่ช่องแตกกอ ต้องเส้นการสร้างใบ และสร้างเนื้อเยื่อ
คือช่วงเวลา 2-4 เดือน สำหรับปุ๋ยเม็ด ปริมแนะนำสูตรอินทรีย์เคมี
เฟอร์เฟคเอส 16-3-3 อันนี้เอาไว้สร้างใบและต้น ให้โตเร็วหนีหญ้า
รูปด้านล่างค่ะ</div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-yB6EyXE-ePU/Td0ntfAdMvI/AAAAAAAAAR4/U5X_voSibMI/s1600/perfect_s-250x250.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" /></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: left;">
<div style="text-align: justify;">
ปุ๋ยสูตรนี้บำรุงต้น ทำให้ต้นเขียวเร็ว
และถ้าเป็นอินทรีย์+เคมีจะทำให้อ้อยเขียวนานมาก
มีเคมีในปริมาณที่เหมาะสมทำให้เขียวเร็ว
และพอเคมีหมดฤทธิ์เม็ดอินทรีย์ก็ทำงานต่อเนื่องกันทำให้เพียงพอต่อความต้อง
การธาตุอาหารของอ้อย ถ้าใช้อินทรีย์อย่างเดียวในช่างนี้ปริมไม่แนะนำนะค่ะ
มันช้าเกินไปสำหรับความต้องการธาตุอาหารของอ้อย ถ้าใช้เคมีก็จะหมดเร็วเกิน
เคมีมีฤทธิ์อยู่ได้ไม่เกิน 15 วันก็หมดละ
หรือถ้าไม่ใช้ของปริมอยากผสมปุ๋ยเองก็เอาปุ๋ยอินทรีย์ผสมกับ ยูเรีย 40 -0-0
ก็ใช้ได้ค่ะ แต่ระวังผสมให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะนะค่ะ
ถ้ายูเรียมากเกินต้นจะเขียวอวบ ๆ แต่ไม่แข็งแร็งหนอกกอเข้าเจาะลำต้นได้ง่าย
ถ้าอยากใช้การฉีดพ่นทางในระยะย่างปล้องแล้ว ขอแนะนำ ไอโอเอ็น จุลินทรีย์
ตรึงไนโตรเจนในอากาศ ในอากาศที่วนเวียนอยู่รอบตัวเรา มีไนโตรเจนเต็มไปหมด
แต่อ้อยไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ถ้าฉีดยาไบโอเอ็นอ้อยตัวนี้
มันจะทำหน้าที่ดึงไนโตรเจนทีมีอยู่ในอากาศมาใช้ได้ในอ้อย
ประโยชน์ของมันคือ </div>
</div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><u><span style="color: black; font-family: BrowalliaUPC; font-weight: bold;">คุณประโยชน์</span></u><span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej'; font-weight: bold;"></span></span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"><b>1. </b>เพิ่มการสร้าง และตรึงไนโตรเจน (</span><span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';">Biological Nitrogen Fixation; BNF</span><span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';">) จากอากาศ</span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"><span style="font-weight: bold;"> </span>ให้กับต้นอ้อย</span><span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"></span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"><b>2.</b> เพิ่มการย่อยสลาย การปลดปล่อย และการเปลี่ยนรูปธาตุอาหารในดิน</span><span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"></span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"><b>3. </b>ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ให้กับอ้อย</span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';"><b><br /></b></span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';">แต่ตัวนี้มีข้อกำจัดคือ เนื่องจากมันเป็นจุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิต ห้ามใช้คู่กับพวกสารเคมี ยาฆ่าหญ้าอะไร</span></div>
<div style="direction: ltr; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0.58in; margin-top: 0pt; text-align: left; text-indent: -0.58in; unicode-bidi: embed; vertical-align: baseline;">
<span style="color: black; font-family: 'DSE SuRaDej';">พวกนี้ ไม่งั้นจุลินทรีย์มันตายหมด ก็เสียดายปุ๋ย เสียดายเงินค่ะ รูปดังด้านล่างนะค่ะ </span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="320" src="http://2.bp.blogspot.com/-8WpMHvnCagk/Td0rlEeGSMI/AAAAAAAAASE/u9YoS-mAiy8/s320/bio-n-pic-500x500.jpg" style="border-bottom-style: none; border-color: initial; border-image: initial; border-left-style: none; border-right-style: none; border-top-style: none; border-width: initial; position: relative;" width="320" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span class="Apple-style-span" style="color: red;"><u><b>6. อยากให้อ้อยได้น้ำหนัก</b></u></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
ค่าCCS ( Commercial Cane Sugar ) เพิ่มขึ้นต้องเน้นในช่วงระยะเดือนที่ 5-6
ถ้าจะใส่ปุ๋ยให้ใส่สูตรที่มีตัวหลังสูง
อ้อยจะได้น้ำหนักและค่าน้ำตาลพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้น
ดูจากตารางเปรียบเทียบระยะการเจริญเติบโตในช่วงระยะแก่สุก ต้องหลัง 8
เดือนนะค่ะ
อ้อยจะมีความหวานเพิ่มขึ้นสำหรับช่วงนี้แนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมี
เฟอร์เฟคพี สูตร 5-3-14 จะทำให้อ้อยหวานและได้น้ำหนักดูจากรูปนะค่ะ</div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-SRSvoCpfKyI/Td0nt4KSRyI/AAAAAAAAAR8/kB0CG-nj9e8/s1600/perfect-p-img-250x250.jpg" style="border-style: none; position: relative;" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
ถ้าไม่อยากใช้ของปริมก็แนะนำให้เอาแม่ปุ๋ย 0-0-60 ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์หว่าน
ในระหว่างเดือนที่ 5 หรือ 6 เข้ากลางร่องเลย ก็โอเคค่ะที่สำคัญ
ใส่ปุ๋ญให้ถูกช่วงของการเจริญเติบโต ดูแลอย่าให้ขาดน้ำ แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ
ไม่ยากอย่างที่คิด ปลูกอ้อยทั้งทีอย่าปล่อยตามบุญตามกรรม
ทุกอย่างที่เราลงมือทำมันคือต้นทุนทั้งหมด
ทำแล้วต้องมีกำไรคำว่ากำไรของปริมคือ ต้นทุนที่ลงไป หัก
ค่าใช้จ่ายแล้วไม่ขาดทุน ก็คือกำไร จะกำไรมาก
กำไรน้อยก็แล้วแต่เราบริหารนะค่ะ </div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ดึกมากแล้ววันนี้ ง่วงละไว้คุยกันคราวหน้านะคะ สำหรับใครสนใจสินค้าหรือ
อยากโทรมาปรึกษาวิธีการปลูก หรือเรืองอื่นๆ ยกเว้นโทรปรึกษาเรืองเงิน
หรือใครเป็นโรคทรัพย์จางไม่รบปรึกษานะค่ะ อิอิ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ปล. แถมท้ายให้สำหรับการคำนวณค่าของ CCS ค่ะ</div>
ถ้าอ้อย 10 CCS หมายถึงอ้อยหนัก 1 ตัน จะทำน้ำตาลพาณิชย์ได้ 100กิโลกรัม
เมื่อโรงงานมีประสิทธิภาพ 100% ถ้าอ้อย 12 CCS ก็หมายถึงอ้อย 1
ตันจะได้น้ำตาล 120 กิโลกรัมค่ะAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-82148865429327896532013-06-28T23:22:00.002-07:002013-06-28T23:22:25.280-07:00การดูแลรักษา อ้อย<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
<strong>การดูแลรักษา</strong><strong></strong></div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>อ้อยมีระยะการเจริญเติบโต 4 ระยะ คือ</strong></div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>1. ระยะงอก </strong>เริ่มปลูก 1.5 เดือน ( 3-6 สัปดาห์) อ้อยใช้อาหารจากท่อนพันธุ์และความชื้นในดินปุ๋ยรองพื้นช่วยให้รากแข็งแรง</div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>2. ระยะแตกหน่อ </strong>อ้อยอายุ 1.5 - 3 เดือน ต้องการน้ำและปุ๋ยไนโตรเจนมาก เพื่อช่วยให้แตกกอและหน่อเติบโต</div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>3. ระยะย่างปล้อง </strong>อ้อยอายุ 4-5 เดือน
ระยะที่กำหนดขนาดและน้ำหนักของลำอ้อยเป็นช่วงที่อ้อยเจริญเติบโตเร็วที่สุด
จึงต้องการปัจจัยต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโตทั้งแสงแดด อุณหภูมิ น้ำและปุ๋ย</div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>4. ระยะสุกแก่ </strong>เมื่ออ้อยอายุ 8 เดือน – เก็บเกี่ยวจะเป็นระยะสมน้ำตาลไม่ควรใส่ปุ๋ย</div>
<div align="center" class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<img height="124" src="http://www.uttaradit.go.th/KM/sugar/p1.gif" width="186" /></div>
<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
</div>
<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
<strong>การใส่ปุ๋ย</strong><strong></strong></div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
การใส่ปุ๋ยถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งควรจะใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด
ที่ช่วยปรับสภาพทางกายภาพของดินร่วมกับปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยเคมีที่ใส่ควรมีธาตุอาหารครบทั้ง 3 ชนิด คือ เอ็น – พี – เค ( N,P,K )
เช่น ปุ๋ยสูตร15-15-15 , 13-13-21 เป็นต้น</div>
<blockquote>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>ควรใส่ปุ๋ยเคมีหลังปลูก หรือหลังแต่งตออ้อย 2 ครั้ง</strong></div>
</blockquote>
<ul>
<li><span class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">ดิน
ร่วนปนทราย ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21
รองก้นร่องพร้อมปลูกหลังแต่งตอ 1 เดือน อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่
ครั้งที่สองเมื่ออายุ 2-3 เดือน อัตรา 60 กิโลกรัมต่อไร่
ถ้าเป็นอ้อยตอหลังตัดแต่งตอให้เพิ่มปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 10-15
กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 21-0-0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร</span></li>
<li><span class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">ดิน
ร่วน หรือดินร่วนเหนียว ให้ปุ๋ยสูตร 16-8-8 หลังปลูกหรือหลังแต่งตอ 1 เดือน
อัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ ครั้งที่สองเมื่ออายุ 2-3 เดือน อัตรา 40
กิโลกรัมต่อไร อ้อยปลูกและอ้อยตอที่ปลูกในเขตชลประทานเมื่ออ้อยอายุ 2-3
เดือน ให้เพิ่มปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 อัตรา 15 กิโลกรัม ต่อไร่ หรือสูตร
21-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่</span></li>
</ul>
<blockquote>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
การให้ปุ๋ยทุกครั้ง
ทั้งในอ้อยปลูกและอ้อยตอควรให้ขณะดินมีความชื้นโดยโรยข้างแถวอ้อยห่างประมาณ
10 เซนติเมตร และต้องฝังกลบปุ๋ย ยกเว้นการให้ปุ๋ยรองก้นร่อง</div>
<div align="center" class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<img height="140" src="http://www.uttaradit.go.th/KM/sugar/p2.gif" width="181" /></div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
</div>
</blockquote>
<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
</div>
<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
<strong>การให้น้ำ</strong></div>
<blockquote>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
สำหรับในแหล่งปลูกที่มีน้ำชลประทานหรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ</div>
</blockquote>
<ul>
<li class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">ควรให้น้ำตามร่องทันทีหลังปลูก โดยไม่ต้องระบายออก กรณีที่ไม่สามารถปรับพื้นที่ให้มีความลาดเอียงได้ ควรให้น้ำแบบพ่นฝอย</li>
<li class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">ต้องไม่ให้อ้อยขาดน้ำติดต่อกันนานกว่า 20 วัน เป็นระยะการสะสมน้ำตาล</li>
<li class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">งดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว 2 เดือน ถ้าฝนตกหนักต้องระบายน้ำออกทันที</li>
</ul>
<blockquote>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
ให้น้ำทันทีหลังตัดแต่งตออ้อย</div>
</blockquote>
<div align="center" class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<img height="144" src="http://www.uttaradit.go.th/KM/sugar/p3.gif" width="197" /></div>
<div align="center" class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
</div>
<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
</div>
<div align="center" class="style4" style="color: #006600; font-size: 24px; font-weight: bold;">
<strong>การกำจัดวัชพืช</strong><strong></strong></div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
การกำจัดวัชพืชเป็นสิ่งจำเป็นในช่วง 3-4 เดือนแรก
ถ้าวัชพืชมากจะทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง การกำจัดวัชพืชอาจใช้แรงงานคน
แรงงานสัตว์ หรือเครื่องทุ่นแรง เช่น จอบหมุน</div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
คราดสปริง รวมถึงการใช้สารเคมี ซึ่งสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชแบ่งเป็น 3 พวก ได้แก่</div>
<ol>
<li class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;"><strong>ยาคุมหญ้า </strong>ใช้เมื่อปลูกอ้อยใหม่ๆ หญ้ายังไม่งอก ยาที่ใช้ได้แก่อาทราซีน อามีทรีน และเมทบูซีน ใช้ในอัตราที่แนะนำข้างขวด</li>
<li class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;"><strong>ยาฆ่าและคุมหญ้า </strong>ใช้
เมื่ออ้อยงอกแล้ว และหญ้าอายุไม่เกิน 5 สัปดาห์ ได้แก่ อามีทรีน
อามีทรีนผสมอาทราซีน เมทริบูซีนผสมกับ 2 , 4-ดี ในอัตราที่แนะนำข้างขวด</li>
<li class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;"><strong>ยาฆ่าหญ้า </strong>ให้เมื่ออ้อยงอกแล้ว และหญ้าโต อายุมากกว่า 6 สัปดาห์ ได้แก่ พาราควอท ? ลิตร ดินประสิว 1 ขีด เกลือแกง 1 ขีด และผงซักฟอก 1 ขีด</li>
</ol>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong>วิธีการผสม </strong>คือ ละลายเกลือแกงและดินประสิวในน้ำ 10 ลิตร
และละลายผงซักฟอกในน้ำ 5 ลิตร คนให้ผงซักฟอกละลายให้หมด
นำสารละลายทั้งสองมาผสมให้เข้ากันแล้วเติมพาราควอท
คนให้เข้ากันแล้วจึงเติมน้ำอีก 85 ลิตร คนให้เข้ากัน (รวม 100 ลิตร ฉีด ได้
1 ไร่) ซึ่งยาชนิดนี้ใช้ฆ่าได้เฉพาะลูกหญ้า)</div>
<div align="center" class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<img height="148" src="http://www.uttaradit.go.th/KM/sugar/p4.gif" width="178" /></div>
<div class="style1" style="font-size: 16px; font-weight: bold;">
<strong class="style6" style="color: red; font-size: 24px;">ข้อควรระวัง</strong></div>
<div class="style7" style="color: blue; font-size: 16px; font-weight: bold;">
ยานี้อันตรายต่ออ้อย เวลาฉีดต้องระวังอย่างให้ละอองยาถูกโคนอ้อย</div>
<div class="style7" style="color: blue; font-size: 16px; font-weight: bold;">
ในการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีใช้ให้ถูกต้องจึงจะทำให้การใช้สารนั้นเกิด
ประสิทธิภาพในการคุมและฆ่าวัชพืชได้ อัตราที่ใช้ต้องตรงกับคำแนะนำ
ฉีดขณะที่ดินชื้นหัวฉีดควรเป็นรูปพัด
ควรมีการทดลองฉีดน้ำเปล่าก่อนเพื่อหาปริมาณของยาที่ต้องใช้
จะทำให้การใช้ตัวยาหรือปริมาณยาเป็นไปตามคำแนะนำ</div>
<div class="style7" style="color: blue; font-size: 16px; font-weight: bold;">
นอกจากการควบคุมวัชพืชในขณะที่อ้อยยังเล็กอยู่ในระยะ 1-4 เดือนแล้ว
เกษตรกรสามารถใช้พื้นที่ระหว่างแถวอ้อย (1.3-1.5 เมตร) ปลูกพืชอายุสั้น
เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ได้ด้วย</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-89943188565551025762013-06-28T23:20:00.001-07:002013-06-28T23:20:30.557-07:00พันธุ์อ้อยที่เกิดในประเทศไทย<b> พันธุ์อ้อยแนะนำจากหน่วยงานต่าง ๆ</b><br />พันธุ์จากต่างประเทศ คือ<br /><img alt="http://www.koratdailynews.com/wp-content/uploads/2011/03/phot23.jpg" class="decoded" height="239" src="http://www.koratdailynews.com/wp-content/uploads/2011/03/phot23.jpg" width="400" /><br /> จากไต้หวัน ซึ่งขึ้นต้นด้วยอักษร เอฟ. (F) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น อาร์โอซี. (ROC-Taiwan Republic of Chian) มี พันธุ์ เอฟ.140, เอฟ.154, เอฟ.156, อาร์โอซี.1, อาร์โอซี.10<br /> จาก ฟิลิปปินส์ (ฟิล-Phill) มีพันธุ์ ฟิล. 58-260, ฟิล.63-17, ฟิล.66-07 (มาร์กอส-Marcos) และ ฟิล. 67-23<br /> จากออสเตรเลีย จากรัฐควีนส์แลนด์ (Queensland) มี คิว.83, คิว.130 และจากเอกชน ซีเอสอาร์ .(CSR-Colonial Sugar Refining Co.) คือไตรตัน (Triton)<br /> จากอินเดีย ซีโอ. (CO - Coimbatore) มีพันธุ์ ซีโอ.419, ซีโอ.1148, ซีโอ.62-175<br /> จากฮาวาย เอช. (H-Hawaii) H.483166 H.47-4911 (เอฟ.ใบลาย)<br /><br /><b>พันธุ์อ้อยที่เกิดในประเทศไทย โดย นักวิชาการชาวไทย คือ</b><br /><br /> พันธ์จากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) โดยศูนย์เกษตรอ้อยภาคกลาง ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ใช้ชื่อย่อว่า เค.(K) พันธุ์ เค. ทั้งหลาย ได้แก่ เค.76-4, เค.84-69, เค.84-200, เค.86-161, เค.88-87 , เค.88-92 และ เค.92-102<br /> พันธุ์อู่ทอง จากสถาบันวิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง มีพันธุ์อู่ทอง 1 และอู่ทอง 2 และอู่ทองแดง (80-1-128)<br /> พันธุ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน (กพส.-Kps) ได้แก่ พันธุ์ ม.ก.50, พันธุ์ กพส.85-2 (85-11-2), กพส.89-20 และ กพส.89-26<br /><br />ในจำนวนนี้พันธุ์ที่ปลูกมากที่สุด คือ เค.84-200 ซึ่งปลูกในภาคกลางและภาคเหนือ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และกำลังขยายไปในภาคอื่น ๆ การปลูกอ้อยพันธุ์เดียวเกินกว่าร้อยละ 30 นับว่าเสี่ยงมากเพราะถ้าอ้อยพันธุ์นี้เกิดโรคระบาดรุนแรงก็จะเสียหายมากเช่นเดียวกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปลูกพันธุ์มาร์กอสมากกว่า 40% ขณะนี้อ้อยตอของพันธุ์มาร์กอสกำลังเป็นโรคมาก โดยเฉพาะอ้อยตอ หลังจากไถรื้อตอแล้วชาวไร่ควรหาอ้อยพันธุ์ใหม่มาปลูกทดแทน<br />ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์อ้อย<br />ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มีหน้าที่ทำการทดลองค้นคว้าหาพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี โดยการผสมพันธุ์หรือการชักนำให้กลายพันธุ์ และนำพันธุ์อ้อยพันธุ์ดีจากต่างประเทศมาทดลองเปรียบเทียบคัดเลือกพันธุ์ เพื่อทดสอบหรือคัดเลือกพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพน้ำตาลดี ต้านทานต่อโรคและแมลง ทนทานต่อสภาพแห้งแล้งหรือน้ำขังและอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ทำการรวบรวมพันธุ์อ้อยและศึกษาลักษณะต่างๆ ของพันธุ์อ้อยทุกชนิด รวมถึงพันธุ์พืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน<br />
<br />วัตถุประสงค์<br />เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของพันธุ์อ้อยและคัดเลือกพันธุ์ดีที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น<br />ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์อ้อย แบ่งออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้<br />ขั้นที่ 1 การศึกษาเบื้องต้นและสร้างความแปรแรวนทางพันธุกรรม แบ่งย่อย ได้ดังนี้<br />1.1 การนำเข้า การรวบรวมและการศึกษาเบื้องต้นของลักษณะที่ต้องการของแหล่งพันธุกรรมของพันธุ์ สายพันธุ์และแหล่งรวมพันธุกรรม (Introduction, collection and observation of genetic resources of Variety, clone and gene pool.)<br />1.2 การสร้างความแปรแรวนทางพันธุกรรม (Creating genetic variation)<br /><br /> 1.2.1 การผสมพันธุ์ (Hybridization)<br /> - การผสมพันธุ์โดยธรรมชาติ (Natural hybridization) เช่น การผสมแบบเปิด (Open pollination) เป็นต้น<br /> - การผสมพันธุ์โอยมีการควบคุม (Controlled or artificial hybridization) เช่น การผสมแบบตัดลำ (Cut cane method) และแบบคลุมช่อดอก (Lantern method) และแบบผสมในที่เฉพาะ (Area cross or isolation area method) เป็นต้น<br /> 1.2.2 การกลายพันธุ์ (Mutation)<br /> - การกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ (Natural mutation)<br /> - การกลายพันธุ์โดยการชักนำ (Induced mutation) เช่น การฉายรังสี (Irradiation) การใช้สารเคมี (Chemical treatment) และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue cultural) เป็นต้น<br /><br />ขั้นที่ 2 การคัดเลือก (Selection) เป็นวิธีการคัดเลือกให้ได้พันธุ์หรือสายพันธุ์ที่ดี โดยแบ่งการคัดเลือกเป็น 2 ช่วง ดังนี้<br /><br /> 2.1 การคัดเลือกช่วงที่ 1 เป็นการคัดเลือกสายพันธุ์จากเมล็ดอ้อย โดยถือว่าเมล็ดอ้อย 1 เมล็ด เป็น 1 สายพันธุ์ และคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีเด่นเพียง 2% จากลูกอ้อยผสมทั้งหมด สายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับหมายเลขประจำพันธุ์<br /> 2.2 การคัดเลือกช่วงที่ 2 เป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ให้ได้ดีเด่นจริง ๆ โดยนำสายพันธุ์อ้อยที่ผ่านการคัดเลือกช่วงที่ 1 หรือการนำเข้าหรือรวบรวมพันธุ์ เป็นต้น มาปลูกแถวเดียวยาว 4 เมตร จำนวน 2-3 ซ้ำ โดยปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์มาตรฐาน และคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีเด่นไว้ 5%<br /><br />ขั้นที่ 3 การประเมินผล (Evaluation) หมายถึงการตรวจสอบลักษณะที่ได้ผ่านการ คัดเลือกตามช่วงดังต่อไปนี้<br /><br /> 3.1 การเปรียบเทียบสายพันธุ์เบื้องต้น (Preliminary trial) เป็นการประเมินผลช่วงแรก โดยการนำสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกช่วงที่ 2 มาปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์มาตรฐาน ขนาดแปลงย่อย 6.5x6 เมตร จำนวน 4 ซ้ำ และคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีเด่นเพียง 50%<br /> 3.2 การเปรียบเทียบสายพันธุ์มาตรฐาน (Standard trial) เป็นช่วงต่อจากการเปรียบเทียบสายพันธุ์เบื้องต้น นำสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกมาปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์มาตรฐาน ขนาดแปลงย่อย 9.1x8 เมตร จำนวน 4 ซ้ำ และอย่างน้อย 4 ท้องที่ (Location) คือทำการทดลอง ตาม สถานีอ้อย, มหาวิทยาลัย และโรงงานน้ำตาลต่าง ๆ เป็นต้น และคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีเด่นเพียง 50%<br /> 3.3 การเปรียบเทียบพันธุ์ในไร่กสิกร (Farm trial) เป็นช่วงต่อจากการ เปรียบเทียบสายพันธุ์มาตรฐาน เมื่อได้พันธุ์อ้อยที่ให้ผลดีแล้ว จำนวน 3-5 พันธุ์ นำมาปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์มาตรฐานในสภาพไร่กสิกรตามคำแนะนำของนักวิชาการและมีขนาดแปลงย่อยใหญ่ขึ้นประมาณ 13.0 x 10.0 เมตร จำนวน 4 ซ้ำ ดำเนินงานในแหล่งที่มีการปลูกอ้อย<br /> 3.4 การทดสอบพันธุ์ในไร่กสิกร (Field test) เมื่อต้องการที่จะแสดงให้กสิกรเห็นถึงความดีเด่นของพันธุ์ ก็ควรกระทำการทดลองให้เห็นโดยการปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์มาตรฐานหรือพันธุ์ในท้องถิ่นนั้น ๆ ตามวิธีการที่แนะนำของนักวิชาการ<br /><br />ขั้นที่ 4 การรับรองพันธุ์ (Approval) สำหรับพันธุ์อ้อยที่ผ่านวิธีการปรับปรุงพันธุ์มาแล้ว จะต้องได้รับการพิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอน ดังนี้<br /><br /> 4.1 การพิจารณารับรองพันธุ์อ้อย ภายในงานเกษตรอ้อยของศูนย์เกษตรอ้อย หรือสถานีอ้อยอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เป็นเบื้องต้น<br /> 4.2 การพิจารณารับรองพันธุ์ของคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์อ้อย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม<br /> 4.3 ผ่านการเห็นชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม<br /> 4.4 ผ่านการเห็นชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์<br /><br />พันธุ์อ้อยที่ผ่านขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยทุกขั้นตอนสมบูรณ์แล้วสามารถนำ พันธุ์อ้อยพันธุ์นั้นออกเผยแพร่สู่ชาวไร่กสิกรปลูกต่อไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-52661284325847923292013-06-28T23:17:00.001-07:002013-06-28T23:17:09.708-07:00ลักษณะที่ใช้ในการจำแนกพันธุ์อ้อย<span style="color: blue;"><b> ลักษณะที่ใช้ในการจำแนกพันธุ์อ้อย</b></span><br />
<br /><b>มาตรฐานที่ใช้จำแนกลักษณะภายนอกของอ้อย</b><br />
<br />
<img alt="http://www.wikalenda.com/images/business_kalenda_image/Sugar-Asia-2012-110231.jpeg" class="decoded" height="266" src="http://www.wikalenda.com/images/business_kalenda_image/Sugar-Asia-2012-110231.jpeg" width="400" /><br /><br />
ก่อนที่จะกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ จำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานที่ใช้ในการศึกษาลักษณะ ภายนอกเสียก่อน มาตรฐานที่กล่าวต่อไปนี้เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วไป การกำหนดมาตรฐานเป็นสิ่งจำเป็นทั้งนี้เพราะว่าลักษณะบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและอายุ เช่น สีของลำต้นในพันธุ์เดียวกัน กอที่อยู่ริมไร่อาจแตกต่างจากกอที่อยู่กลางไร่ หรือแม้แต่ในกอเดียวกัน สีของลำต้นที่แก่ ก็อาจแตกต่างจากลำต้นที่อ่อน หรือในที่สุดแม้กระทั่งในลำต้นเดียวกันสีส่วนที่ไม่กาบหุ้มก็อาจแตกต่างจากส่วนที่มีกาบหุ้มดังนี้เป็นต้น นอกจากสีของลำต้นแล้วลักษณะอื่น ๆ เช่น ตาแต่ละตาก็อาจแตกต่างกันตั้งแต่โคน จนถึงยอด ทั้งนี้เพราะอายุต่างกันนั่นเอง ตาที่อยู่ต่ำกว่ามีอายุมากกว่า ส่วนตาที่อยู่เหนือขึ้นไปจะมีอายุลดหลั่นตามลำดับ และในระหว่างตาแก่ที่สุดซึ่งอยู่ส่วนโคนและอ่อนที่สุดซึ่งอยู่ส่วนยอดนั้น ก็จะมีตาที่เหมาะสมสำหรับใช้ดูลักษณะของตาอยู่เพียง 2 หรือ 3 ตา เท่านั้น นอกจากนี้ขนาดของหูใบและลิ้นใบก็อาจแตกต่างกันในใบที่แก่หรืออ่อนเกินไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานเสียก่อน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน มาตรฐานดังกล่าว มีดังนี้ (เกษม และคณะ. 2520)<br /><br /> อายุของอ้อย อายุที่เหมาะสำหรับใช้จำแนกพันธุ์ คือระหว่าง 8-10 เดือน เพราะเป็นระยะที่อ้อยเติบโตทางด้านลำต้นและใบเต็มที่แล้ว<br /> สีของลำต้น ส่วนของลำต้นที่แก่และไม่มีอะไรปกปิดอยู่กลางไร่ ไม่ถูกลมและ แสงแดดโดยตรง<br /> ตา ตาที่ดีที่สุด คือตาที่อยู่สูงสุดซึ่งมีกาบแห้งหุ้มอยู่<br /> ข้อและปล้อง ส่วนกลางของลำต้นก็ใช้ได้แต่นิยมใช้ปล้องที่อยู่ส่วนปลาย ซึ่งกาบแห้งหุ้มอยู่<br /> รอยแตกต่าง ๆ ของร่องตา ดูจากปล้องสูงสุดที่มีกาบแห้งหุ้มอยู่ หรือปล้องที่อยู่ถัดลงมา<br /> ลักษณะใบ ขนาดวัดจากใบที่เติบโตเต็มที่ เช่น ใบที่ 2-4 โดยนับใบสูงสุดที่เห็น ดิวแล็ปเป็นใบที่ 1 ส่วนลิ้นใบ หูใบ และดิวแล็ป ดูจากใบที่ 3<br /><br />อย่างไรก็ดีแม้จะได้ใช้มาตรฐานเดียวกัน แต่ลักษณะที่ได้จากแต่ละตัวอย่างก็อาจจะแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูจากหลาย ๆ ตัวอย่าง ลักษณะรูปร่างอย่างใดมีมากกว่าก็ให้ถือลักษณะรูปร่างนั้นเป็นเกณฑ์<br />นอกจากรู้จักส่วนที่จะนำมาศึกษาลักษณะต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว ก็จำเป็นต้องพิจารณาลักษณะอื่น ๆ ประกอบกันด้วย คือ<br /><br /> พันธุ์ที่เป็นพ่อ การทราบพ่อแม่จะช่วยทำให้การศึกษาลักษณะพันธุ์กระทำได้ถูกต้องแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น<br /> ลักษณะการเจริญเติบโต ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไปของอ้อยขณะที่เติบโตอยู่ในไร่นับว่าช่วยในการจำแนกพันธุ์ได้เป็นอย่างดี อ้อยบางพันธุ์อาจมีลักษณะเฉพาะซึ่งเราอาจจะบอกว่าเป็นพันธุ์ใดได้ โดยไม่ต้องดูอย่างใกล้ชิด ลักษณะดังกล่าว ได้แก่ ทรงกอ ทรงใบ และธรรมชาติของแต่ละใบ เป็นต้น<br /><br />ความจำเป็นที่จะต้องรู้จักพันธุ์อ้อย<br />พันธุ์อ้อยที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้มีมากกว่า 200 พันธุ์ ในจำนวนนี้มีประมาณ 20 พันธุ์ เท่านั้นที่ปลูกเป็นการค้าอยู่ในภาคต่าง ๆ ของประเทศ จากการที่มีพันธุ์เป็นจำนวนมากนี้เอง ทำให้เกิดการสับสนในเรื่องพันธุ์ขึ้น มีชาวไร่จำนวนไม่น้อยที่ปลูกอ้อยโดยไม่ทราบว่าเป็นพันธุ์อะไร เพราะบางพันธุ์มีลักษณะคล้ายคลึงกัน บางรายก็ไม่แน่ใจว่าพันธุ์ที่ตนปลูกนั้นเป็นพันธุ์แท้ตรงตามชื่อ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องหาข้อยุติ โดยการสอบถามผู้รู้ ซึ่งบางครั้งก็หาได้ไม่ง่ายนัก<br />การรู้จักพันธุ์อ้อยนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาพันธุ์แล้ว ยังเป็นประโยชน์ในด้านการผลิตอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าอ้อยแต่ละพันธุ์ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแตกต่างกัน และต้องการดูแลรักษาแตกต่างกันด้วย ดังตัวอย่าง เช่น พันธุ์ เค.76-4 เจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงในที่ลุ่ม ซึ่งมีการชลประทานดี ส่วนพันธุ์ ซีโอ.1148 เติบโตได้ดีกว่าในที่ดอน ซึ่งอาศัยน้ำฝนดังนี้ เป็นต้น นอกจากนี้อ้อยแต่ละพันธุ์ยังมีความแตกต่างกันในด้านอื่น ๆ อีก เช่น อายุเก็บเกี่ยว น้ำหนัก ความหวาน ความทนทานต่อโรคและแมลง ตลอดจนการสูญเสียน้ำหนัก และความหวานภายหลังตัด เป็นต้น<br />ดังนั้น การรู้จักพันธุ์อ้อยนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้ชาวไร่แน่ใจว่าอ้อยที่ปลูกนั้นเป็นพันธุ์ที่ต้องการ และเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของตน ซึ่งจะทำให้สามารถปฏิบัติการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันก็จะมีผลทำให้ผลผลิตน้ำตาลต่อไร่เพิ่มขึ้นด้วย<br />ในการศึกษาพันธุ์ครั้งนี้ คณะผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ชาวไร่ได้รู้จักพันธุ์อ้อยของตนเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงได้พยายามเน้นเฉพาะลักษณะที่เห็นได้ง่าย และเด่นชัด แต่ก็ได้รวมเอาลักษณะที่สังเกตได้ยาก เช่น กลุ่มขนที่อยู่บนส่วนต่าง ๆ ไว้ด้วย เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจเป็นพิเศษได้ใช้เป็นแนวทางสำหรับศึกษาพันธุ์อ้อยต่อไป<br />นอกจากลักษณะทางพฤกษศาสตร์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้แล้ว คณะผู้เขียน ยังได้รวบรวมลักษณะบางอย่างทางเกษตรที่เห็นว่าจำเป็นไว้ด้วย เพื่อให้ชาวไร่ใช้ประโยชน์การตัดสินใจเลือกพันธุ์อ้อยสำหรับปลูกอย่างไรก็ดีลักษณะทางเกษตรมีการเปลี่นแปลงได้ง่ายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม และการปฏิบัติของชาวไร่เป็นสำคัญ ตัวอย่าง เช่น<br />ผลผลิตอ้อย เค.88-92 ในหนังสือนี้กล่าวว่าให้ผลผลิตสูง (มากกว่า 15 ตัน/ไร่) แต่ถ้า ชาวไร่มีการปฏิบัติอย่างเหมาะสมอาจให้ผลผลิตสูงกว่านี้ในทำนองเดียวกันถ้าปฏิบัติไม่ถูกก็ทำให้ได้ ผลผลิตต่ำกว่า 15 ตัน/ไร่ เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การออกดอก อ้อยบางพันธุ์อาจไม่เคยออกดอก มาก่อน จนกระทั่งถึงเวลาที่ศึกษา แต่อาจออกดอกในระยะต่อมาดังนั้น เป็นต้น ส่วนลักษณะทาง พฤกษศาสตร์นั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่น้อยมาก เมื่อเทียบกับลักษณะทางเกษตร ดังนั้นจึงเชื่อถือได้มากกว่า<br />ลักษณะภายนอกของอ้อย<br />ในการจำแนกพันธุ์อ้อยสิ่งจำเป็นที่จะต้องทราบก่อนก็คือส่วนต่าง ๆ ของอ้อยและศัพท์ทางวิชาการที่ใช้เรียกชื่อส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น ความจริงนักพฤกษศาสตร์ทางอ้อยได้ศึกษาไว้โดยละเอียด แต่ลักษณะบางอย่างก็ไม่สะดวกที่จะใช้ศึกษาในไร่โดยชาวไร่ ดังนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะลักษณะสำคัญที่ใช้ในการจำแนกพันธุ์เท่านั้น ลักษณะบางอย่างสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและรู้สึกได้ด้วยการสัมผัส แต่บางอย่าง เช่น ขนที่อยู่บนส่วนต่าง ๆ ของใบและตา อาจจำเป็นต้องใช้แว่นขยายเข้าช่วย ลักษณะเหล่านี้ ได้แก่<br />
<br />1. ลำต้น ประกอบด้วยข้อและปล้องเป็นจำนวนมากเรียงติดต่อกัน ข้อ หมายถึง ส่วนที่อยู่ระหว่างรอยกาบถึงวงเจริญ ปล้อง คือ ส่วนตั้งแต่วงเจริญถึงรอยกาบที่อยู่เหนือขึ้นไป โดยทั่วไปมักเรียก สั้น ๆ ว่าปล้อง หมายถึง ความยาวจากรอยกาบหนึ่งถึงรอยกาบอีกอันหนึ่ง หรือกล่าวคืออย่างหนึ่งคือส่วนที่มีหนึ่งข้อกับหนึ่งปล้อง ลำต้นประกอบด้วยหลายปล้อง ซึ่งมีความยาวต่างกัน ตอนโคนสั้นมากและค่อย ๆ ยาวขึ้นจนถึงยาวที่สุด และลดลงเมื่อใกล้ยอด ความยาวของปล้องขึ้นอยู่กับพันธุ์และสิ่งแวดล้อม ปล้องมี รูปร่างแตกต่างกันตามพันธุ์ เช่น ทรงกระบอก มัดข้าวต้ม โคนโป่ง ปลายโป่งและโค้ง รายละเอียดส่วน ต่าง ๆ ของข้อและปล้องตลอดจนลักษณะรูปร่างได้แสดงไว้ในรูปที่ 1 และ 2 การจัดเรียงของปล้องอาจเป็นเส้นตรง หรือซิกแซ็กก็ได้ ดังรูปที่ 3 ลำต้นประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้<br /><br /> 1.1 ตา เกิดที่ข้อในบริเวณเกิดราก ปกติแต่ละข้อมีหนึ่งตาเกิดสลับกัน ในบางกรณีบางข้ออาจไม่มีตาหรือมีมากกว่าหนึ่งตาก็ได้ สี ขนาด และลักษณะของตา แตกต่างกันไปตามพันธุ์ ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป<br /> 1.2 วงเจริญ หรือวงแหวน คือส่วนที่มีลักษณะคล้ายวงแหวนเรียบอยู่เหนือบริเวณเกิดราก ไม่มีไขเกาะ การที่เรียกวงเจริญก็เพราะว่าส่วนนี้จะเจริญเติบโตอย่างเห็นได้ชัด เช่น อ้อยล้ม ส่วนของวงเจริญด้านล่างจะยืดตัวมากกว่าด้านบน ทำให้ลำต้นตั้งขึ้น วงเจริญส่วนที่อยู่ตรงกับตาอาจโค้งขึ้นเหนือตา หรือผ่านไปทางด้านหลังของตาก็ได้ ดังรูปที่ 9<br /> 1.3 รอยกาบ เป็นรอยที่เกิดขึ้นหลังจากใบหลุดแล้ว การหลุดของกาบใบเป็นลักษณะประจำพันธุ์ บางพันธุ์กาบใบแห้งจะหลุดเอง บางพันธุ์ติดแน่นอยู่กับ ลำต้น ลักษณะต่าง ๆ ของรอยกาบ เช่น ความลาดเท และความยื่นของรอยกาบเป็นลักษณะประจำพันธุ์<br /> 1.4 ร่องตา เป็นร่องเกิดขึ้นที่ปล้องซึ่งอยู่ตรงและเหนือตาขึ้นไป บางพันธุ์อาจไม่มี พันธุ์ที่มีร่องนี้ อาจยาวหรือสั้น ตื้นหรือลึก ซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธุ์<br /><br />2. ตา เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในการจำแนกพันธุ์ บางพันธุ์ตามีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนต่าง ๆของตาดูได้จากรูปที่ 4 ส่วนรูปของตาได้แสดงไว้ในรูปที่ 5 ลักษณะที่ควรสังเกตจากตามีดังนี้<br /><br /> 2.1 ขนาด รูปร่าง และตำแหน่ง แตกต่างกันตามพันธุ์ บางพันธุ์มีตาขนาดใหญ่ บางพันธุ์มีตาขนาดเล็ก บางพันธุ์ตาโปนออกมา แต่บางพันธุ์ตาแบนมาก นอกจากนี้รูปร่างก็แตกต่างกัน ตั้งแต่ค่อนข้างกลมจนถึงคล้ายสามเหลี่ยม ส่วนตำแหน่งของตาคือระยะระหว่างรอยกาบกับฐานตาก็ แตกต่างกัน บางพันธุ์ตาอยู่ชิดหรือสอดเข้าไปในรอยกาบ แต่บางพันธุ์อยู่สูงขึ้นมา จนเกิดช่องว่างระหว่างฐานตากับรอยกาบ ลักษณะเหล่านี้จะต้องสังเกตให้ดี<br /> 2.2 กลุ่มขน นักพฤกษศาสตร์ใช้หมายเลขแทนชื่อกลุ่มขนที่อยู่บนส่วนต่าง ๆ ของอ้อย กลุ่มขนที่ตาได้แสดงไว้ในรูปที่ 11 จำนวน ความยาว ความแข็ง และสี ของขนเป็นลักษณะประจำพันธุ์<br /><br /><span style="color: red;"><b>3. ใบ</b></span><br /><br /> 3.1 หูใบ คือส่วนยื่นที่เกิดขึ้นตรงส่วนปลายของกาบใบ ขนาดและรูปร่าง แตกต่างกันไปตามพันธุ์ หูใบอาจมีทั้งสองข้าง ข้างเดียว ยาวหรือสั้น หรือไม่มีเลยก็ได้ ในกรณีที่ข้างเดียวจะอยู่ด้านในเสมอ<br /> 3.2 ลิ้นใบ คือส่วนยื่นที่เกิดขึ้นตรงส่วนปลายของกาบใบตรงคอใบด้านใน มีลักษณะคล้ายลิ้น จึงเรียกว่าลิ้นใบ รูปร่างลักษณะของลิ้นใบแตกต่างกันตามพันธุ์<br /> 3.3 กลุ่มขนหลังกาบใบ ความยาวปริมาณและความแข็งของขนที่เกิดขึ้นบนส่วนต่าง ๆ ของกาบใบเป็นลักษณะประจำพันธุ์ แต่จะต้องสังเกตต่อไปว่าขนดังกล่าวร่วงหรือไม่ เพราะบางพันธุ์มีขนในขณะที่ใบอ่อน พอใบแก่ขนร่วงหลุดไปเอง<br /> 3.4 ดิวแล็ป ที่คอใบด้านนอกซึ่งมีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมสองรูปพบกันที่ฐานของแกนใบ “ดิวแล็ป” ส่วนนี้ยืดหยุ่นได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ใบเนื่องจากลม บางพันธุ์ดิวแล็ปเปราะฉีกขาดได้ง่าย เช่น พันธุ์ เอฟ.148 เป็นต้น ขนาด รูปร่าง และสี ตลอดจนปริมาณไขที่เกาะแตกต่างกันไปตามพันธุ์<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-34031572881916013082013-06-28T23:13:00.001-07:002013-06-28T23:13:16.953-07:00 การปลูกอ้อย <span style="color: blue;"><b>การปลูกอ้อย</b></span><br /><img alt="" border="0" src="http://www.pukaotong.com/private_folder/sugar-cane.jpg" style="border-width: 0px;" /><br /><br />อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศ มีอายุเก็บเกี่ยว 10-12 เดือน เก็บผลผลิตได้ 2-3 ปี สภาพแวดล้อมพันธุ์และการบำรุงดูแลรักษาเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลิตและคุณภาพของอ้อยอ้อยสามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ดินร่วนถึงดินร่วนปนทราย พื้นที่ปลูกควรเป็นที่ราบ ควรหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยในดินเหนียวจัด ดินทรายจัดและดินลูกรัง <br />การเตรียมพันธุ์<br /> พันธุ์อ้อยควรมาจากแปลงอ้อยที่เจริญเติบโตดี ตรงตามพันธุ์ ปราศจากโรคและแมลง มีอายุประมาณ 8-10 เดือน ถ้าต้องทิ้งพันธุ์อ้อยที่ตัดไว้แล้วในไร่ ควรคลุมท่อนพันธุ์ด้วยใบอ้อยแห้ง เพื่อป้องกันตาอ้อยแห้ง เกษตรกรควรมีแปลงพันธุ์อ้อยไว้ใช้เองเพื่อลดค่าใช้จ่าย อ้อยจากแปลงพันธุ์ 1 ไร่ (อายุ 7-8 เดือน) ปลูกขยายได้ 10 ไร่ สำหรับแปลงพันธุ์ ควรแช่ท่อนพันธุ์ในน้ำร้อนนาน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันโรคใบขาว และกอตะไคร้ จากนั้นแช่ท่อนพันธุ์มนสารเคมีโพรนิโคนาโซล อัตรา 66 ซีซี/น้ำ20 ลิตร นาน 30 นาที เพื่อป้องกันโรคแส้ดำ เหี่ยวเน่าแดง <br />และกลิ่นสัปปะรด <br />ฤดูกาลปลูก <br />การปลูกอ้อยในปัจจุบัน สามารถแบ่งตามฤดูกาลได้เป็น 2 ประเภท คือ<br /> การปลูกอ้อยต้นฝน ซึ่งยังแบ่งออกเป็น 2 เขต คือ<br /> - ในเขตชลประทาน (20% ของพื้นที่ปลูกอ้อยทั่วประเทศ) ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วง <br /> เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน<br /> - ในเขตอาศัยน้ำฝน ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน<br /> การปลูกอ้อยปลายฝน (การปลูกอ้อยข้ามแล้ง) สามารถทำได้เฉพาะในบางพื้นที่ของภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ที่มีปริมาณและการกระจายของฝนดีและดินเป็นดินทรายเหนือดินร่วนปนทราย การปลูกอ้อยประเภทนี้จะปลูกประมาณกลางเดือนตุลาคม-ถึงเดือนธันวาคม<br /> การเตรียมดิน<br />ไถเตรียมดินให้ลึกขณะมีความชื้นพอเหมาะ และควรลงไถดินดานทุกครั้งที่มีการรื้อตอเพื่อปลุกอ้อยใหม่โดยไถเป็นรูปตาหมากรุก<br /> - ถ้าปลูกต้นฤดูฝนหรือปลูกอ้อยใช้น้ำชลประทาน ไม่จำเป็นต้องไถพรวนให้ดินแตก<br /> - อ้อยปลายฝนหรือปลูกอ้อยข้ามแล้ง ต้องไถพรวนจนหน้าดินแตกละเอียด เพื่อช่วยลด ความสูญเสียความชื้นภายในดินให้ช้าลง<br />วิธีการปลูก<br /> - ถ้าใช้คนปลูกจะยกร่องกว้าง 1.4-1.5 เมตร (เดิมใช้ 1.3 เมตร) วางพันธุ์อ้อยเป็นลำโดยใช้ลำเดี่ยว เกยกันครึ่งลำหรือ2 ลำคู่ตามลักษณะการแตกกอของพันธุ์อ้อยที่ใช้<br /> - ถ้าใช้เครื่องปลูก หลังจากเตรียมดินแล้ว ไม่ต้องยกร่องจะใช้เครื่องปลูกติดท้ายแทรกเตอร์ โดยจะมีตัวเปิดร่อง และช่องสำหรับใส่พันธุ์อ้อยเป็นลำ และมีตัวตัดลำอ้อยเป็นท่อนลงในร่องและมีตัวกลบดินตามหลัง และสามารถดัดแปลงให้สามารถใส่ปุ๋ยรองพื้น พร้อมปลูกได้เลย ปัจจุบันมีการใช้เครื่องปลูกทั้งแบบแถวเดี่ยวและแถวคู่ โดยจะปลูกแถวเดี่ยวระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ในกรณีใช้พันธุ์อ้อยที่แตกกอมาก และจะปลูกแถวคู่ ระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ระยะระหว่างคู่แถว 20-30 เซนติเมตร ในกรณีใช้พันธุ์อ้อยที่แตกกอน้อย<br /> การใส่ปุ๋ย <br /> โดยแบ่งใส่ปุ๋ยเป็น 2 ครั้ง จำนวน 50 กิโลกรัมต่อไร่ <br /> ใส่ปุ๋ยครั้งแรกให้ใช้ ปุ๋ยสูตร 15-15-15, 25-7-7 จำนวน 25 กิโลกรัมต่อไร่<br /> ใส่ปุ๋ยครั้งที่สองให้ใช้ ปุ๋ยสูตร 20-8-20 จำนวน 25 กิโลกรัมต่อไร่<br />การป้องกันกำจัดวัชพืช<br /> - ใช้แรงงานคนดายหญ้าในช่วงตั้งแต่ปลูกจนถึงอายุ 4 เดือน<br /> -ใช้เครื่องจักรไถพรวนระหว่างร่องหลังปลูก เมื่อมีวัชพืชงอก<br /> - ใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อคุมฆ่า<br />ปัจจุบันเกษตรกรมีการเผาใบอ้อยกันมาก<br /> - การเผาใบอ้อยก่อนเก็บเกี่ยว เนื่องจากขาดแคลนแรงงานทำให้ตัดอ้อยได้เร็วไม่ต้องลอกกาบใบ อ้อยที่เผาใบถ้าไม่รีบตัดส่งโรงงานทันทีจะทำให้เสียน้ำตาลและคุณภาพความหวาน และต้องจ่ายค่ากำจัดวัชพืช และให้น้ำเพิ่มขึ้นในอ้อยตอแนวทางแก้ไข คือ ถ้าส่งโรงานไม่ทันต้องตัดอ้อยไฟไหม้กองไว้ในไร่ ซึ่งจะสูญเสียความหวานน้อยกว่าทิ้งไว้ในไร่<br /> - การเผาใบอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว เนื่องจากเกษตรกรต้องการป้องกันไฟไหม้อ้อยตอ หลังจากที่มีหน่องอกแล้วและทำให้ใส่ปุ๋ยได้สะดวกกลบปุ๋ยง่าย แต่มีผลเสียตามมา คือ<br /> * เป็นการทำลายวัตถุอินทรีย์ในดิน <br /> * ทำให้สูยเสียควสามชื้นในดินได้ง่าย<br /> * หน้าดินถูกกชะล้างได้ง่าย<br /> * มีวัชพืชในอ้อยตอขึ้นมาก<br /> * มีหนอกอเข้าทำลายมากขึ้น<br />แนวทางแก้ไข คือ ใช้เครื่องสับใบอ้อย คลุกเคล้าลงดิน ระหว่างแถวอ้อย และถ้าต้องการเผาใบอ้อยจริงๆ ควรให้น้ำในอ้อนตอทันที<br />จะช่วยลดการตายของอ้อยตอลงได้<br /> - การเผาใบก่อนการเตรียมดิน เกษตรกรทำเพื่อให้สะดวกในการเตรียมดินปลูก เพราะล้อรถแทรกเตอร์จะลื่นเวลาไถ<br />มีผลเสียตามมาคือ เป็นการทำลายอินทรีย์วัตถุ ดินอัดแน่นทึบ ไม่อุ้มน้ำ น้ำซึมลงได้ยาก<br />แนวทางแก้ไข คือการใช้จอบหมุนสับเศษอ้อย และคลุกเคล้าลงดินก่อนการเตรียมดิน ทำให้ไม่ต้องเผาใบอ้อยก่อนการเตรียม<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-10521265563970500032013-06-28T23:11:00.000-07:002013-06-28T23:11:34.484-07:00ความหวานของอ้อย อ้อย-หวาน-ไม่หวาน<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
ความหวานของอ้อย<br /><img alt="http://kasetintree.com/wp-content/uploads/2010/10/2.jpg" class="decoded" src="http://kasetintree.com/wp-content/uploads/2010/10/2.jpg" /><br />
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<div align="center" class="style209">
อ้อย-หวาน-ไม่หวาน</div>
<div align="left" class="style208">
สวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ปีใหม่ปีนี้สำหรับผู้เขียน
นับว่าเป็นช่วงเวลาของการสงบนิ่ง
เพื่อฝึกตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาททั้งหลาย<br />ทั้งปวง
สงบนิ่งจนกระทั่งต้องส่งต้นฉบับช้าเกินกว่ากำหนดไปหลายวัน
เป็นการวางแผนการทำงานที่ท่านผู้อ่านไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างอย่างยิ่งช่วง<br />สัปดาห์
แรกของปี ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางผ่านจังหวัดอุดรธานี สกลนคร
และเข้าสู่จังหวัดนครพนม ระหว่างทางสังเกตเห็นรถบรรทุกอ้อยเข้าสู่<br />โรง
งานเป็นจำนวนมาก บรรทุกกันแบบไม่เกรงใจเพื่อนร่วมทาง
ซึ่งต้องคอยช่วยลุ้นว่าอ้อยที่บรรทุกไว้จะร่วงลงมาหรือไม่
เวลาเข้าโค้งจะพลิกหรือ<br />ไม่พลิก เรียกว่าลุ้นกันได้กันไปตลอดทาง
ก่อนที่จะเห็นประชากรรถบรรทุกอ้อยจอดเรียงรายหน้าโรงงานนับสิบนับร้อยคัน
ส่วนใหญ่อ้อยที่ผู้เขียน<br />เห็นเป็นอ้อยที่ผ่านการเผาแล้วทั้งสิ้น
คำแนะนำการตัดอ้อยโดยไม่เผาเห็นทีจะต้องกลับไปพิจารณากันให้ลึกซึ้ง
เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เขียน<br />สนใจว่าอ้อยที่ว่าหวาน ณ พ.ศ.ใหม่ หวาน หรือ ไม่หวาน ขออนุญาตนำผู้อ่านเข้าสู่เรื่องที่ว่าหวานๆ ใน <strong>“ฉีกซอง”</strong> ฉบับต้อนรับปีเถาะ พ.ศ. 2554 <br />โปรดติดตาม</div>
<div class="style210">
โลกของอ้อย</div>
<div class="style208">
ในอดีตหากกล่าวถึงอ้อยจะต้องคิดถึงน้ำตาลในทันใด
แต่ยุคปัจจุบันอาจต้องคิดถึงเอทานอลพ่วงเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม
น้ำตาลยังคง<br />เป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของอ้อย จากรายงานของสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำสหภาพยุโรป ได้สรุปรายงานของบริษัท <br />Czarnikow
ผู้ค้าน้ำตาลรายเก่าแก่ที่สุดของ UK เรื่อง “Sugar in 2030 : How the
World will meet an Extra 50% Demand” โดยทำการ<br />วิเคราะห์แนวโน้ม
การผลิตและการบริโภคน้ำตาลในอีก 20 ปีข้างหน้า
โดยความต้องการบริโภคน้ำตาลทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 168 ล้านตัน<br />ใน
ปี 2010 เป็น 260 ล้านตัน ภายในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายใน 20
ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจใหม่ <br />(emerging market) ที่ทำให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้น </div>
<div class="style208">
</div>
<div align="center" class="style208">
</div>
<div class="style208">
</div>
<div class="style208">
</div>
<div class="style208">
รายงานฉบับดังกล่าว คาดว่าการบริโภคน้ำตาลในอนาคต
เอเชียจะยังคงครองตำแหน่งภูมิภาคที่มีการบริโภคน้ำตาลมากที่สุด
โดยสัดส่วน<br />การบริโภคอาจเพิ่มขึ้นจาก 40% ในปัจจุบัน เป็น 49% ภายในปี
2030 โดยอินเดียจะบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ภายช่วงเวลา 20
ปีข้างหน้า <br />ส่วนจีนมีแนวโน้มบริโภคน้ำตาลสูงกว่ายุโรปภายในปี 2014
คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 การบริโภคน้ำตาลของอินเดียและจีน
คิดเป็นสัดส่วน<br />ประมาณ 17.6 % และ 14.7% ตามลำดับ
เมื่อเทียบกับการบริโภคน้ำตาลทั่วโลก
ในขณะที่ยุโรปการบริโภคน้ำตาลจะอยู่ในระดับคงที่ แต่<br />แอฟริกาจะบริโภค
น้ำตาลเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 13% ภายในปี 2030 (โดยเฉพาะในบางประเทศ เช่น
อูกันดา กินี บูร์กินาฟาโซ) ซึ่งเป็นผลมาจาก<br />การเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรและ GDP</div>
<div class="style208">
ทางด้านการผลิต รายงานฉบับดังกล่าว ยืนยันว่า
บราซิลจะยังคงเป็นประเทศที่มีการผลิตและส่งออกน้ำตาลมากที่สุดในโลก
โดยผลผลิต<br />ของบราซิล เพิ่มขึ้นถึง 35% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
และมีการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนราว 60%
ของปริมาณน้ำตาลที่ส่งออกทั้งหมดทั่วโลก ใน<br />อนาคตบราซิลน่าจะยังมี
อิทธิพลต่อตลาดน้ำตาลโลกสูงสุดต่อไป บริษัท Czarnikow ระบุว่า
การผลิตน้ำตาลของโลกจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอีก 90 <br />ล้านเมตริกตัน
(raw value) ภายใน 20 ปีข้างหน้า
เพื่อรองรับกับความต้องการบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น
คาดว่าด้วยกำลังความสามารถในการ<br />ขยายการผลิตและทรัพยากรที่มีอยู่
ของบราซิล น่าจะทำให้ผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นได้อีก 45 ล้านตันในอนาคต
ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับ<br />การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการเปลี่ยนแปลงการจัดการภายในของประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาล เช่น ประเทศไทย เป็นต้น</div>
<div class="style208">
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO
ได้คาดการณ์ว่า จำนวนประชากรโลกอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 9.1
พันล้านคน<br />ภายในปี 2050 ซึ่งจะทำให้การผลิตอาหารของโลกจะต้องเพิ่มขึ้นอีก 70% ภายใน 30 ปีข้างหน้า ความต้องการบริโภคส่วนใหญ่จะมาจากประเทศ<br />เศรษฐกิจ
ใหม่เป็นหลัก แต่สำหรับภูมิภาคที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป
ความต้องการบริโภคอาหารอาจคงที่หรือมีแนวโน้มลดลง ดังนั้น <br />ในอนาคต
ประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคเอเชีย ยุโรปและแอฟริกา
อาจมุ่งเน้นความสนใจไปที่การเพิ่มผลผลิตอาหารเป็นหลัก
เพื่อให้ประเทศเกิดความ<br />มั่นคงด้านอาหาร (food security)
และลดความผันผวนในตลาด
ส่วนการผลิตน้ำตาลที่จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการบริโภคที่
เพิ่มสูงขึ้น<br />แต่ในทางตรงข้าม
การผลิตน้ำตาลอาจเผชิญปัญหาจากการแก่งแย่งใช้ที่ดินกับพืชอาหารอื่นๆ เช่น
ข้าว ข้าวโพด ซึ่งถือเป็นอาหารหลัก <br />(staple food)
ที่มีความสำคัญมากกว่า
และอาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ราคาน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น
คงเหลือแต่ประเทศบราซิลเท่านั้นที่มีที่ดินและ<br />ทรัพยากรเพียงพอ
สำหรับขยายการเพาะปลูก ในอนาคตผู้นำเข้าและผู้บริโภคจึงน่าจะขึ้นอยู่
กับอุปทานน้ำตาลที่มาจากบราซิลมากยิ่งขึ้นอย่างไร<br />ก็ตาม บราซิลจำเป็นต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับการขยายการผลิตน้ำตาล เนื่องจากในปัจจุบันบราซิลมีทางรถไฟเพียง 10%<br />เมื่อ
เทียบกับสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าประเทศจะมีขนาดใกล้เคียงกันก็ตาม
ดังนั้นปัญหาด้านการขนส่งอาจเป็นปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของ<br />บราซิลได้ ส่วนสหภาพยุโรปและรัสเซียควรหาทางกลับมาเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลให้ได้อีกครั้ง</div>
<div class="style208">
ปัจจุบัน น้ำตาลที่ผลิตจากอ้อยคิดเป็นสัดส่วนราว 3 ใน 4
ของผลผลิตน้ำตาลทั่วโลก ส่วนใหญ่ผลิตมาจากประเทศในเขตร้อนหรือกึ่งร้อน <br />เช่น
บราซิล อินเดีย จีนและไทย ส่วนที่เหลืออีก 1 ใน 4
เป็นน้ำตาลที่ผลิตจากต้นบีท (sugar beet)
โดยผลิตกันมากในประเทศที่มีอุณหภูมิ<br />ปานกลาง เช่น
ยุโรปและสหรัฐอเมริกา
การผลิตน้ำตาลจากอ้อยมีความได้เปรียบเหนือกว่าน้ำตาลจากต้นบีท
เนื่องจากมีฤดูเพาะปลูกที่ยาวนานกว่า<br />และต้นทุนการผลิตต่ำกว่า แต่โอกาสในการขยายตัวของการเพาะปลูกอ้อยต่ำกว่าต้นบีทเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านภูมิประเทศ ปริมาณน้ำฝนและ<br />สภาพ
ภูมิอากาศ ในอนาคตภาคการผลิตน้ำตาลบีทอาจมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น
เนื่องจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น KWS, SES <br />Vander Have และ Syngenta เป็นต้น กำลังพัฒนาการเพาะปลูกต้นบีทที่มีความเหมาะสมกับสภาวะในเขตร้อน โดยทดลองปลูกในประเทศอินเดีย<br />ปากีสถาน
และแอฟริกาใต้ อีกทั้งการเพาะปลูกต้นบีทยังใช้น้ำน้อยกว่าอ้อยถึง 2 ใน 3
สามารถเติบโตได้ในดินที่มีความเค็ม และเก็บเกี่ยวได้ภายใน<br />ระยะเวลา 6
เดือน จึงมีความเป็นไปได้ที่การผลิตน้ำตาลบีทจะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต
ดังนั้น หากภาคการผลิตน้ำตาลบีทเติบโตมากขึ้น ควบคู่ไป<br />กับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลจากอ้อย และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่ออุตสาหกรรมผลิตน้ำตาลแล้ว เช่น ด้าน<br />กฎ
ระเบียบ ราคาน้ำตาลและค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น
ความเป็นไปได้ที่ผลผลิตน้ำตาลของโลกจะเพิ่มขึ้นได้ทันกับความต้องการบริโภค
ที่เพิ่มขึ้นจึงจะ<br />มีโอกาสเกิดได้</div>
<div class="style208">
</div>
<div align="center" class="style208">
</div>
<div class="style210">
<b>อ้อยในไทย</b></div>
<div class="style210">
<b> </b></div>
<div class="style208">
หากมีใครสักคนถามท่านผู้อ่านว่าอ้อยในเมืองไทยหน่วยงานใดรับผิดชอบ คาดว่าคำตอบที่ได้รับในใจหลายๆ ท่านคือ กระทรวงเกษตรและ<br />สหกรณ์
แต่ในความเป็นจริงแล้วอ้อยในเมืองไทยไม่เหมือนใครในโลก
และคงไม่มีใครเหมือน
สิ่งที่ผู้เขียนนึกถึงเวลาที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับอ้อย <br />คือ คำสอนของอาจารย์สมัยเป็นนักเรียนเกษตรในวิชาพืชไร่อุตสาหกรรม สำหรับคำจำกัดความของ<strong>อ้อยในเมืองไทย คือ</strong> <strong>พืชการเมือง</strong> ดังนั้นจึง<br />ไม่ต้องแปลกใจที่อ้อยไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่กลับอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม โดย <br /><strong>สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย </strong>ภายใต้<strong>พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527</strong> ควบคุมการผลิตและการจำหน่าย<br />ทั้งในประเทศและต่างประเทศ</div>
<div class="style208">
พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527
เกิดขึ้มาจากความจำเป็นที่ต้องรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
และคุ้มครอง<br />รักษาผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อยในด้านการผลิตและการจำหน่าย จึงควรจัดระบบและควบคุมการผลิตและจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทรายที่ผลิต<br />จาก
อ้อย
โดยให้ชาวไร่อ้อยและเจ้าของโรงงานน้ำตาล ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดย
ตรงเข้าร่วมมือกับทางราชการ ตั้งแต่การผลิตอ้อยไปจนถึงการ<br />จัดสรรเงินรายได้จากการขายน้ำตาลทรายทั้งในและนอกราชอาณาจักรระหว่างชาวไร่อ้อย และเจ้าของโรงงานน้ำตาลทรายเพื่อให้อุตสาหกรรมอ้อย<br />และน้ำตาลทรายเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและเกิดความเป็นธรรมแก่ชาวไร่อ้อย เจ้าของโรงงานน้ำตาลและผู้บริโภค</div>
<div class="style208">
การบริหารระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ป ระกอบด้วยคณะกรรมการทั้งหมด 5 คณะ กล่าวคือ <strong>คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล<br />ทราย (กอน.)</strong> ทำหน้าที่กำหนดนโยบายเพื่อบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทราย กำหนดระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และวิธี<br />การ
ปฏิบัติและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการคณะอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง
กนอ. ได้แก่ ผู้แทนฝ่ายราชการ 5 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 9 คน <br />และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 7 คน<br /><br /> ลำดับต่อมา คือ<strong> คณะกรรมการบริหาร (กบ.) </strong>ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการ 3 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 4 คน ผู้แทนฝ่ายโรงงาน<br />4 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คน ทำหน้าที่หลักในการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน.และควบคุมการปฏิบัติงานของ กอน. ด้วย</div>
<div class="style208">
<strong> คณะกรรมการอ้อย(กอ.)</strong> ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการ 4 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 6 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 4 คน ทำหน้าที่ให้<br />คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน.และ กบ. ในกิจการที่เกี่ยวกับอ้อย</div>
<div class="style208">
<strong>คณะกรรมการน้ำตาลทราย (กน.)</strong> ประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการ 5 คน ผู้แทนชาวไร่อ้อย 5 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 5 คน <br />ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อ กอน.และ กบ. ในกิจาการที่เกี่ยวกับน้ำตาลทรายคณะกรรมการชุดสุดท้าย คือ <strong>คณะกรรมการบริหาร<br />กองทุน (กท.)</strong> ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการ 6 คนผู้แทนชาวไร่อ้อย 3 คน และผู้แทนฝ่ายโรงงาน 3 คน ทำหน้าที่กำหนดระเบียบว่าด้วย<br />การเก็บรักษา การหาผลประโยชน์และการใช้จ่ายเงินกองทุนและบริหารควบคุมการปฏิบัติงานกองทุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดทั้งนี้สำนักงาน<br />คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งมีภารกิจเกี่ยวกับการกำหนด<br />นโยบาย กำกับดูแล ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีเสถียรภาพ โดยการกำหนดนโยบายส่งสริมการ<br />วิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ตลอดจนสร้างความเป็นธรรมและรักษาผลประโยชน์ในระบบอุตสาหกรรม<br />อ้อยและน้ำตาลทรายและผู้บริโภค</div>
<div class="style210">
อ้อยอุตสาหกรรม</div>
<div class="style208">
อุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทรายเกี่ยวข้องกับชีวิตของเกษตรกรกว่า
600,000 คน และเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ<br />ประเทศปีละกว่า 80,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนในการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศราว 2 ใน 3 ของผลผลิตน้ำตาลที่ผลิตได้เนื่องจาก<br />อ้อยเป็นพืชอุตสาหกรรมตามที่กล่าวมาข้างต้น คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้ประกาศกำหนดพันธุอ้อยที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้ชาวไร่<br />อ้อย
ปลูกในท้องที่ที่คณะกรรมการกำหนด จำนวน 35 พันธุ์
ซึ่งมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตามพื้นที่ปลูกของแต่ละภาค
โดยมีศูนย์ส่งเสริม<br />อุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทรายประจำภาคต่างๆ ได้แก่ ภาค 1 กาญจนบุรี ภาค 2 กำแพงเพชร ภาค 3 ชลบุรี และภาค 4 อุดรธานี ทำหน้าที่ใน<br />การส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในพื้นที่ที่รับผิดชอบ</div>
<div align="center" class="style208">
<br />
</div>
<div class="style208">
ในภาพรวมแล้ว อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
มีสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีเพียง 29
สถาบันที่มีคุณลักษณะตามที่<br />กฎหมายกำหนด คือ มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 600
คน และมีปริมาณอ้อยส่งโรงงานไม่น้อยกว่า 55% ซึ่งทั้ง 29
สถาบันได้รวมตัวกันเป็น 3 องค์กร<br />ชาวไร่อ้อย ได้แก่ สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และชมรมชาวไร่อ้อยภาคอีสาน ในส่วนของโรงงาน<br />น้ำตาล
มีทั้งสิ้น 47 โรงงาน ก่อตั้งเป็น 3 สมาคมเช่นกัน ได้แก่
สมาคมการค้าอุตสาหกรรมน้ำตาล สมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทย และสมาคม<br />โรงงานน้ำตาลไทย</div>
<div class="style208">
</div>
<div class="style208">
สำหรับระบบการจำหน่ายน้ำตาลทรายของประเทศไทย กำหนดจัดสรรโควต้าน้ำตาลทรายของประเทศออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย<br /><strong> <br /> น้ำตาล โควต้า ก</strong> คือ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และน้ำตาลชนิดอื่นๆ ที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตายทรายกำหนดให้<br />ผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะกำหนดเป็นแต่ละฤดูการผลิต<br /><strong><br /> น้ำตาล โควต้า ข</strong> คือน้ำตาลทรายดิบที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนดให้ผลิตเพื่อส่งมอบให้บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด <br />ส่งออกและจำหน่ายไปยังต่างประเทศ จำนวน 8 แสนตัน เพื่อใช้ทำราคาในการคำนวณราคาน้ำตาลส่งออก<br /><strong><br /> น้ำตาล โควต้า ค</strong> คือ น้ำตาลทรายดิบ หรือ น้ำตาลทรายขาว หรือ น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ที่คณะกรรมการอ้อย และน้ำตาลทรายกำหนดให้<br />โรงงานผลิตเพื่อการส่งออกหลังจากที่โรงงานผลิตน้ำตาลทรายได้ครบตามปริมาณที่จัดสรรให้ตามโควต้า ก และ โควต้า ข แล้ว</div>
<div class="style208">
ส่วนระบบการซื้อขายอ้อยในปัจจุบันจะซื้อขายกันตามค่าความหวาน
ระบบดังกล่าวเริ่มใช้มาตั้งแต่ปีการผลิต 2535/36 เป็นระบบที่นำมาจาก<br />ออสเตรเลีย ค่าคุณภาพความหวานวัดเป็น C.C.S หรือ Commercial Cane Sugar หมายถึง ปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อย ซึ่งสามารถหีบสกัดออก<br />มา
เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ โดยในระหว่างผ่านกรรมวิธีการผลิต
ถ้ามีสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่ละลายอยู่ในน้ำอ้อย 1 ส่วน
จะทำให้สูญเสียน้ำตาลไป <br />50% ของจำนวนสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ อ้อย 10
C.C.S. จึงหมายถึง เมื่อนำอ้อยมาผ่านกระบวนการผลิต
จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 10% กล่าวคือ <br />อ้อย1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 100 กิโลกรัม โดยมีสูตรการคำนวณราคาอ้อยดังนี้</div>
<div class="style208">
ราคาอ้อย = รายได้ส่วนที่ 1 + (รายได้ส่วนที่ 2 x ค่า C.C.S)+
รายได้จากกากน้ำตาล โดย รายได้ส่วนที่ 1 = รายรับจากการขายน้ำตาล<br />ที่คิดตามน้ำหนัก</div>
<div class="style208">
รายได้ส่วนที่ 2 = รายรับจากการขายน้ำตาลที่คิดตามค่าความหวาน</div>
<div class="style208">
สำหรับระบบการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ หรือน้ำตาลโควต้า ก คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มอบหมายให้คณะกรรมการ<br />น้ำตาลทราย เป็นผู้วางแผนควบคุม และกำหนดวิธีการจำหน่าย โดยมีศูนย์บริหารการผลิต การจำหน่าย และการขนย้ายน้ำตาลทราย เป็นฝ่ายปฏิบัติ<br />การ โดยจำหน่ายเป็นลักษณะตลาดกลาง ซึ่งโรงงานน้ำตาลดำเนินการขายอย่างเสรี คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจะควบคุมปริมาณน้ำตาล<br />ทรายที่จะเข้าสู่ตลาดกลาง และรักษาเสถียรภาพของราคาไว้ โดยคณะกรรมการจะกำหนดงวดการนำน้ำตาลทรายออกมาจำหน่ายตามความต้องการ<br />ของตลาดปริมาณน้ำตาลทราย โควต้า ก ในปีการผลิต 2552/53 กอน. กำหนดไว้ที่ 22 ล้านตัน โดยแบ่งเป็นงวดจำหน่าย จำนวน 52 งวด ตาม<br />จำนวน
สัปดาห์ในรอบปี เพื่อให้โรงงานน้ำตาลนำน้ำตาลออกจำหน่ายสัปดาห์ละ 1 งวด
ให้แก่ผู้ค้าส่งหรืออุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้น้ำตาลทรายเป็น<br />วัตถุดิบ
โดยศูนย์บริหารฯ
เป็นหน่วยงานควบคุมด้วยระบบใบอนุญาตขนย้ายน้ำตาลของโรงงานน้ำตาลต่างๆ
ให้กับผู้ซื้อภายหลังจากชำระค่าน้ำตาล<br />ให้กับผู้แทนโรงงานแล้วและผู้ซื้อน้ำตาลจะนำใบอนุญาตดังกล่าวของโรงงานไปรับน้ำตาลเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไป</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-65716076667306963602013-06-28T23:08:00.001-07:002013-06-28T23:08:32.696-07:00ขั้นตอนการปลูกอ้อย <h3 class="post-title entry-title" itemprop="name">
ขั้นตอนการปลูกอ้อย
</h3>
<div class="post-header">
</div>
<img alt="http://img521.imageshack.us/img521/1407/clip42.jpg" class="decoded" height="598" src="http://img521.imageshack.us/img521/1407/clip42.jpg" width="398" />
<div style="background-color: white; color: #003333;">
<span>การปลูกอ้อย</span></div>
<div style="background-color: white; color: #003333;">
เทคโนโลยีการปลูก<br />การเลือกทำเลพื้นที่ปลูก<br />1. ควรเลือกที่ดอน
น้ำไม่ขัง ดินร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ดี หน้าดินลึกอย่างน้อย 20 นิ้ว pH
5-7.7 แสงแดดจัด ปริมาณน้ำฝนควรมากกว่าปีละ 1,500 มิลลิเมตร
และมีการกระจายของฝนสม่ำเสมอ ถ้าฝนน้อยกว่านี้ควรจะมีการชลประทานช่วย
การคมนาคมสะดวก และอยู่ห่างจากโรงงานน้ำตาลไม่เกิน 50 กิโลเมตร<br />2. ควรปรับระดับพื้นที่และแบ่งแปลงปลูกอ้อย เพื่อความสะดวกในการใช้เครื่องจักรในการเตรียมดินปลูก และเก็บเกี่ยว ตลอดจนการระบายน้ำ<br />3.
การไถ ควรไถอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือมากกว่า ความลึกอย่างน้อย 20 นิ้ว หรือ
มากกว่า เพราะอ้อยมีระบบรากยาว ประมาณ 2-3 เมตร และทำร่องปลูก<br /><br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />การ
เตรียมท่อนพันธุ์ ปัจจุบันพันธุ์อ้อยมีหลายพันธุ์
ควรเลือกพันธุ์ที่มีลักษณะการเจริญเติบโตดี
ให้ผลผลิตสูงและมีความหวานสูงด้วย โดยพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้<br />1. พันธุ์อ้อยมีความสมบูรณ์ตรงตามพันธุ์ อายุประมาณ 8-10 เดือน ควรเป็นอ้อยปลูกใหม่ มีการเจริญเติบโตดีปราศจากโรคและแมลง<br />2. ตาอ้อยต้องสมบูรณ์ ควรมีกาบใบหุ้มเพื่อป้องกันการชำรุดของตาและเมื่อจะปลูกจึงค่อยลอกออก<br />3. ขนาดท่อนพันธุ์ที่ใช้ปลูกควรมีตา 2-3 ตา หรือจะวางทั้งลำก็ได้<br /><br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />วิธีการปลูก<br />1.
ปลูกด้วยแรงคน คือหลังจากเตรียมดินยกร่อง ระยะระหว่างร่อง 1-1.5 เมตร แล้ว
นำท่อนพันธุ์มาวางแบบเรียงเดี่ยวหรือคู่
ปัจจุบันเกษตรกรนิยมปลูกโดยวางอ้อยทั้งลำเหลื่อมกันลงในร่อง
เสร็จแล้วกลบดินให้หนาประมาณ 3-5 เซนติเมตร
ถ้าปลูกปลายฤดูฝนควรกลบดินให้หนาเป็น 2 เท่าของการปลูกต้นฤดูฝน<br />2.
การปลูกอ้อยโดยใช้เครื่องปลูก จะช่วยประหยัดแรงงานและเวลา
เพราะจะใช้แรงงานเพียง 3 คนเท่านั้น คือคนขับ คนป้อนพันธุ์อ้อย
และคนเตรียมอุปกรณ์อย่างอื่นถ้าเป็นเครื่องปลูกแถวเดียว
แต่ถ้าเป็นเครื่องปลูกแบบ 2 แถว ก็ต้องเพิ่มคนขึ้นอีก 1 คน
โดยจะรวมแรงงานตั้งแต่ยกร่อง สับท่อนพันธุ์ ใส่ปุ๋ย และกลบร่อง
มารวมในครั้งเดียว ซึ่งเกษตรกรสามารถปลูกอ้อยได้วันละ 8-10 ไร่
แต่จะต้องมีการปรับระดับพื้นที่และเตรียมดินเป็นอย่างดีด้วย<br /><br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />การ
ใส่ปุ๋ยอ้อย เป็นสิ่งจำเป็น ควรมีการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
และปุ๋ยพืชสดร่วมกับปุ๋ยเคมี เพื่อปรับสภาพทางกายภาพของดิน
ปริมาณปุ๋ยที่ใส่ควรดูตามสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน
และการเจริญเติบโตของอ้อย ถ้ามีการวิเคราะห์ดินด้วยยิ่งดี
ปุ๋ยเคมีที่ใส่ควรมีธาตุอาหารครบทั้ง 3 อย่าง คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส
และโปตัสเซียม (เอ็น พี เค) ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ<br />1. ใส่ปุ๋ยรองพื้น
ใส่ก่อนปลูกหรือพร้อมปลูก ใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร เอ็น พี เค ทั้ง 3 ตัว
เช่น 15-15-15, 16-16-16 หรือ 12-10-18 อัตรา 50-100 กิโลกรัม/ไร่<br />2. ใส่ปุ๋ยแต่งหน้า อ้อยอายุไม่เกิน 3 - 4 เดือน ควรเป็นปุ๋ยไนโตรเจนอย่างเดียว เช่น 21-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่<br /><br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />การ
กำจัดวัชพืช การกำจัดวัชพืชสำหรับอ้อยเป็นสิ่งจำเป็นในช่วง 4-5 เดือนแรก
อาจใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ หรือสารเคมีกำจัดวัชพืชก็ได้
เกษตรกรนิยมใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ดังนี้<br />1. ยาคุม ใช่เมื่อปลูกอ้อยใหม่ ๆ ก่อนหญ้าและอ้อยงอก ได้แก่ อาทราซีน อมีทรีน และเมทริบิวซีน อัตราตามคำแนะนำที่สลาก<br />2.
ยาฆ่าและคุม อ้อยและหญ้างอกอายุไม่เกิน 5 สัปดาห์ ได้แก่ อมีทรีน
อมีทรีนผสมอาทราซีน และเมทริบิวซีนผสมกับ 2,4-ดี อัตราตามคำแนะนำที่สลาก<br /><br /><br />การ
ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชให้มีประสิทธิภาพ เกษตรกรต้องรู้จักวิธีใช้ให้ถูกต้อง
ฉีดสารเคมีกำจัดวัชพืชในขณะที่ดินมีความชื้น หัวฉีดควรเป็นรูปพัด
นอกจากนี้สามารถคุมวัชพืชโดยปลูกพืชอายุสั้นระหว่างแถวอ้อย เช่น ข้าวโพด
ถั่วเขียว และถั่วเหลือง เป็นต้น นอกจากจะช่วยคุมวัชพืชแล้ว
อาจเพิ่มรายได้และช่วยบำรุงดินด้วย<br /><br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />การ
ตัดและขนส่งอ้อย เกษตรกรจะต้องปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งเกษตรกรจะต้องรู้ว่าอ้อยของตัวเองแก่หรือยัง
โดยดูจากอายุ ปริมาณ น้ำตาลในต้นอ้อย และวางแผนการตัดอ้อยร่วมกับโรงงาน
ควรตัดอ้อยให้ชิดดินเพื่อให้เกิดลำต้นใหม่จากใต้ดิน
ซึ่งจะแข็งแรงกว่าต้นที่เกิดจากตาบนดิน<br /><br />--------------------------------------------------------------------------------<br /><br />การบำรุงตออ้อย</div>
<div style="background-color: white; color: #003333;">
<br />1. ทำการตัดแต่งตออ้อยหลังจากตัดทันที หรือเสร็จภายใน 15 วัน ถ้าตัดอ้อยชิดดิน ก็ไม่ต้องตัดแต่งตออ้อย ทำให้ประหยัดเงินและเวลา<br />2.
ใช้พรวนเอนกประสงค์ 1-2 ครั้ง ระหว่างแถวอ้อยเพื่อตัดและคลุกใบ
หรือใช้คราดคราดใบอ้อยจาก 3แถวมารวมไว้แถวเดียว เพื่อพรวนดินได้สะดวก<br />3. ใช้ริปเปอร์หรือไถสิ่วลงระหว่างแถวอ้อย เพื่อระเบิดดินดาน ต้องระมัดระวังในเรื่องความชื้นในดินด้วย<br />4. การใส่ปุ๋ย ควรใส่มากกว่าอ้อยปลูก ใช้สูตรเช่นเดียวกับอ้อยปลูก<br />5. ในแปลงที่ไม่เผาใบอ้อยและตัดอ้อยชิดดิน ก็จะปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ และเริ่มดายหญ้าใส่ปุ๋ยเมื่อเข้าฤดูฝน<br />6. การไว้ตออ้อยได้นานแค่ไหนขึ้นกับหลุมตายของอ้อยว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้ามีหลุมตายมาก ก็จะรื้อปลูกใหม่</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-85530411705398195602013-06-28T23:06:00.004-07:002013-06-28T23:06:49.281-07:00แนวทาง การปลูกอ้อย ให้ได้ 20-30 ตันตอไร่<span style="background-color: white;"><span style="color: purple;"><b>แนวทาง การปลูกอ้อย ให้ได้ 20-30 ตันตอไร่</b></span></span><br /><span style="background-color: white;"></span>
<span style="background-color: white;">
</span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-2C8VdL8mp1U/UWVRzMF7keI/AAAAAAAABKg/lxYjo-AkZjI/s1600/%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2.jpg" /></span></div>
<span style="background-color: white;"><br />
การเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน จะช่วยให้ลดต้นทุนการใส่ปุ๋ยเคมีลงไปได้มาก<br />
องค์ประกอบของดินที่สมบูรณ์มี อินทรีย์วัตถุ5% แร่ธาตุ45% น้ำ25%
อากาศ25%
ถ้าอินทรีย์วัตถุมีน้อยจะทำให้โครงสร้างของดินที่มีอินทรีย์ต่ำจะต้องมีการ
เพิ่มให้กับดินโดยการใส่ปุ๋ยคอก,ปุ๋ยพืชสด,ปุ๋ยอินทรีย์ต่างๆเพื่อให้ดิน
สามารถอุ้มน้ำและดูดซับอาหารไว้ได้มากและนาน<br />
การสร้างรากอ้อยให้หยั่งลึก<br /><br /><b>การใส่ปุ๋ยรองพื้นอย่างถูกวิธี
ถ้าใส่ปุ๋ยรองพื้นที่มี
NและKมากจะทำลายปุ่มรากและรากอ่อนจำให้อ้อยไม่งอกหรืองอกแล้วตายเนื่องจาก
ความเค็มของปุ๋ย ฉะนั้นการใส่ปุ๋ยครั้งแรกควรมี
NและKน้อยหรือไม่มีเลยแต่ควรมีPสูงๆเพื่อเร่งรากให้แข็งแรงและควรฝังใต้ท่อน
พันธุ์เพื่อให้รากหยั่งลึกลงในดินอ้อยจะทนแล้งมากขึ้นสูตรปุ๋ยที่ใช้ เช่น
16-16-8หรือ 28-10-10และให้ใช้ร่วมกับน้ำหมัก เอ็นไซม์ และ ขี่ไก่อัดเม็ด
ขี้หมูอัดเม็ด
แกลบดิบเครื่องมือที่มีหัวริบเปอร์สามารถฝังปุ๋ยใต้ท่อนพันธุ์ยกร่องลึก
ประมาณ 25
ซม.การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าควรใช้เครื่องฝังปุ๋ยกลางร่องที่มีหัวริบเปอร์
30ซม.เมื่ออ้อยอายิ10สัปดาห์
เพื่อไม่ให้รากอ้อยขาดการใส่ปุ๋ยแต่งหน้าควรมี NและKสูง เช่น 16-11-14หรือ
24-4-24 และให้ใช้ร่วมกับน้ำหมัก เอ็นไซม์ และ ขี่ไก่อัดเม็ด
ขี้หมูอัดเม็ด แกลบดิบเป็นต้น </b></span>
<span style="background-color: white;"><span style="color: red;"> </span><br /><span style="color: red;"><br /></span></span>
<span style="background-color: white;">
การปลูกอ้อยข้ามแล้งจะเริ่มตั้งแต่ตุลาคม-กุมภาพันธ์และการปลูกอ้อยต้นฝนจะ
เริ่มมีนาคม-มิถุนายน อ้อยจะได้รับน้ำฝนตั้งแต่ต้นปีจนกระทั้งหมดฤดูฝน
ถ้ามีฝนตกปริมาณ 1,000มม.ผลผลิตอ้อยจะได้ไม่ต่ำกว่า 12ตัน/ไร่ หรือฝน
1,200 มม.ผลผลิตจะได้ไม่ต่ำกว่า 15 ตัน/ไร่
อ้อยที่ปลูกต้นฝนเดือนมิถุนายน จะได้รับปริมาณฝนน้อยลงเพียง 3-4
เดือนผลผลิตอ้อยจะต่ำมาก
ดังนั้นจะต้องปลูกอ้อยข้ามแล้งช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์จะได้ผลผลิตสูง
หรือใช้ระบบน้ำหยดซึ่งได้ผลตอบแทนที่สูงและคุ้มค่ากับการลงทุนและไม่จำเป็น
ต้องเสี่ยงรอน้ำฝน แต่ก็จะเพิ่มต้นทุนขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ดังนั้นอยากให้ศึกษาให้ดีเสียก่อนสำหรับตัวผม ผมว่าคุ้มในการทำน้ำหยด<br /></span>
<span style="background-color: white;">
หลังจากตัดอ้อยสดควรปล่อยให้ใบอ้อยแห้ง
แล้วจึงทำการพรวนใบอ้อยด้วยพรวน 7 จานเครื่องสับตออ้อยพร้อมถังใส่ปุ๋ย
(อุปกรณ์ 3อย่างในชุดเครื่องมือเดียว)
เพื่อสับใบอ้อยให้คลุกลงไปในดินเพิ่มอินทรีย์ให้กับดิน บำรุงอ้อยและดิน
ดินสามารถรักษาความชื้นได้นานและย่อยสลายธาตุอาหารให้แก่อ้อยรากอ้ออยก็จะ
ยั่งรากลงลึกในการหาอาหารและสามารถไว้ตอได้มากกว่า 3ตอ
เมื่อพรวนแล้วใส่ปุ๋ยแล้ว
หน่ออ้อยที่เกิดจากตาใต้ดินจะมีขนาดใหญ่สมบูรณ์แข็งแรงถึงแม้ฝนทิ้งช่วงก็
ไม่กระทบผลผลิตอ้อยมากนัก<br /></span>
<span style="background-color: white;">
เกษตรกรชาวไร่อ้อย ที่เคยปลูกมานานหลายปี
หรืออาจจะปลุกกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว อาจจะไม่ยอมรับในการเปลี่ยนแปลง
แต่ผมอยากให้ลองคิดง่ายๆว่า ถ้าท่านทำแบบเดิม ท่านก็จะได้เท่าเดิม
ไม่มีทางที่จะได้ดีกว่าเดิม หัวใจสำคัญอยู่ที่ดิน ควรปลูกดินก่อนปลูกพืช
ครับและต้องมีน้ำด้วยนะครับ <br /></span>
<span style="background-color: white;">
นอกจากการคำนึงถึงผลิตต่อไร่แล้ว ต้องคำนึงถึง ต้นทุน การปลูกอ้อย ต่อไร่ ด้วยนะครับ<br />
สอบถาม แลกเปลี่ยนความรู้กันได้นะครับ</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-70704271018724391502013-05-18T04:02:00.004-07:002013-05-18T04:02:54.187-07:00การเก็บเกี่ยว<table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="orangeH"><b><span style="color: blue;">การเก็บเกี่ยว</span></b></td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH"> </td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" class="borderBottomDot3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td colspan="2"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td> การเก็บเกี่ยวอ้อยให้มีคุณภาพต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง
เช่น อายุของอ้อย พันธุ์อ้อย แรงงานตัดอ้อย
ลำดับการตัดที่ได้รับจากทางโรงงาน
การตัดอ้อยให้ได้คุณภาพสูงมีข้อพิจารณาดังนี้
</td>
<td><img height="200" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/content013-a.jpg" width="294" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td width="7%"><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2" width="93%">เก็บเกี่ยวอ้อยที่อายุ
10-14 เดือนหลังปลูก โดยสังเกตจากยอดอ้อยจะมีข้อถี่กว่าปกติ
ใบสีเขียวซีด มีค่าบริกซ์เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า
22 องศาบริกซ์ โดยอ้อยทุกพันธุ์ควรที่จะตัดอ้อยที่ปลูกปลายฝนก่อน
ตามด้วยอ้อยตอ และอ้อยต้นฝน ยกเว้นพันธุ์
เค 88-92 ที่ช่วงเวลาการตัดที่เหมาะสมคือ
เดือน กุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม</td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2"> มีการวางแผนการตัดอ้อยและจำนวนของคนตัดอ้อย
ให้สัมพันธ์กับลำดับการตัดอ้อยที่ได้รับจากทางโรงงาน
จะทำให้ไม่สูญเสียน้ำหนักและความหวานของอ้อย
เนื่องจากการตัดอ้อยค้างไร่ไว้เป็นเวลานาน</td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2">ควรตัดอ้อยสด ไม่ควรเผาอ้อยก่อนตัด
เนื่องจากอ้อยไฟไหม้ จะมีการสูญเสียน้ำหนัก
และรายได้ มากกว่าอ้อยตัดสด นอกจากนั้นอ้อยไฟไหม้จะถูกหักราคาตันละ
20 บาท อ้อยไฟไหม้ยอดยาวตัดราคาตันละ
40 บาท เนื่องจากอ้อยไฟไหม้จะทำให้การทำน้ำตาลยากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลให้การหีบอ้อยได้ช้าลง</td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2">ควรมีการควบคุมให้ตัดอ้อยชิดดิน ซึ่งจะทำให้ลดการสูญเสียของน้ำหนักอ้อยที่เหลือค้างไร่ได้
0.3 - 2 ตัน/ไร่ และทำให้สูญเสียรายได้
186 - 1,240 บาท/ไร่</td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2">ควรตัดอ้อยให้สะอาดและไม่ควรนำสิ่งเจือปนต่างๆ
เช่น ยอดอ้อย กาบ และใบอ้อย เข้า<br />โรงงานเพราะจะทำให้ค่าซีซีเอส
และรายได้ลดลง นอกจากนั้นอ้อยยอดยาวจะถูกตัดราคา<br />ตันละ
20 บาท</td>
</tr>
<tr>
<td> </td>
<td>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td width="31%"><img height="194" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/content012.jpg" width="256" /></td>
<td width="69%"><div align="right">
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td class="orangeH"> </td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH">การดูแลรักษาอ้อยตอ </td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH"> </td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="2" class="borderBottomDot3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td>ควรมีการไว้ใบอ้อยคลุมดิน เพื่อเก็บรักษาความชื้นไว้ในดิน
ทำให้อ้อยตองอกดี ช่วยป้องกันการงอกของวัชพืช
ในกรณีที่อ้อยตองอกไม่สม่ำเสมอ โดยระยะห่างระหว่างกออ้อยมากกว่า
0.5 เมตร หรือไม่งอกเป็นบริเวณพื้นที่กว้าง
ควรทำการปลูกซ่อมเมื่อดินมีความชื้นโดยใช้ท่อนพันธุ์อ้อยที่มีตาสมบูรณ์
หรือในกรณีที่ขาดแคลนพันธุ์อ้อยอาจใช้วิธีการปลูกอ้อยถุง
แล้วนำไปปลูกซ่อม</td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellspacing="1" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td rowspan="3" width="99%"><table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="borderBlue">
<tbody>
<tr>
<td><img height="227" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/cane-01.jpg" width="300" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
<td height="207" width="1%"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="borderBlue">
<tbody>
<tr>
<td><img height="203" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/cane-02.jpg" width="300" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="borderBlue">
<tbody>
<tr>
<td><img height="228" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/cane-03.jpg" width="300" /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-9277195471172435302013-05-18T04:01:00.001-07:002013-05-18T04:01:13.528-07:00การเตรียมดิน<b><span style="color: blue;">การเตรียมดิน</span></b><img height="319" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/content09.jpg" width="400" /><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมแปลงปลูกที่ดีให้กับอ้อย เพราะการปลูกอ้อย 1 ครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 3 ปี หรือมากกว่า เนื่องจากอ้อยจะแตกกอหลังจากตัดเก็บเกี่ยว ดังนั้นการเตรียมดินปลูกจะมีผลต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และความสามารถในการไว้ตอของอ้อย การเตรียมดินที่ถูกต้องควรปฏิบัติดังนี้<br />
<img height="275" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/content011.jpg" width="400" /><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ถ้ามีชั้นดินดานหรือมีการอัดตัวแน่นหรือปลูกอ้อยมานาน ควรมีการระเบิดดินดาน โดยไถระเบิดดินดานให้ลึกไม่ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร เพื่อเพิ่มความสามารถในการเก็บน้ำของดินและรากสามารถเจริญหยั่งลึกนำน้ำมาใช้ได้<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ไถบุกเบิกและพรวนด้วยผาน 3 และ 7 เมื่อดินมีความชื้นเหมาะสม สังเกตได้โดยถ้าเป็นดินทรายให้ใช้มือกำดินให้แน่นแล้วคลายมือออก ถ้าดินจับตัวเป็นก้อนแสดงว่ามีความชื้นเหมาะสม ถ้าเป็นดินเหนียวไม่ควรไถเมื่อดินชื้นหรือแข็งจนเกินไป ควรไถดินให้ลึก 30-50 เซนติเมตร เพื่อให้รากหยั่งลึกและสามารถหาน้ำได้ดี<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ในกรณีปลูกอ้อยปลายฝน (ดินทราย) ควรไถเปิดหน้าดินด้วยผาล 3 หรือ 7 เพื่อรับ<br />
น้ำฝนในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม จากนั้นทำการพรวนและชักร่องปลูกทันทีในเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ในกรณีปลูกอ้อยชลประทาน (ดินเหนียว) ควรเตรียมดินให้ละเอียดและเสร็จภายในครั้งเดียว (ไถดะ ไถแปร ไถพรวน ชักร่อง) เพื่อลดการสูญเสียความชื้น<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ในกรณีปลูกอ้อยต้นฝน ควรเตรียมดินและชักร่องอ้อยให้เสร็จก่อนเดือนมีนาคม และปลูกอ้อยทันทีเมื่อมีฝนแรกตก<br />
<br />
<b>ระยะปลูกและวิธีปลูก</b><br />
<br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ทำการยกร่อง ใช้ระยะระหว่างร่อง 0.8-1.5 เมตร โดยระยะร่องที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติหรือการดูแลรักษาของเกษตรกร หากใช้แรงงานคนหรือแรงงานสัตว์ในการดูแลรักษา ควรมีระยะ 0.8 - 1.0 เมตร และระยะ 1.3 - 1.5 เมตร สำหรับการใช้เครื่องจักรกลขนาดกลางถึงใหญ่<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ในการปลูกอ้อยต้นฝน เมื่อวางท่อนพันธุ์แล้วควรทำการกลบดินให้สม่ำเสมอหนา 3-5 เซนติเมตร ส่วนอ้อยปลายฝน ควรกลบดินให้แน่นและหนา 10-15 เซนติเมตร<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การปลูกอ้อยโดยใช้เครื่องปลูก เครื่องจะเปิดร่องใส่ปุ๋ย วางท่อนพันธุ์ และกลบ<br />
<br />
<b>การดูแลรักษาอื่นๆ</b><br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การให้ปุ๋ย สูตรปุ๋ยและอัตราปุ๋ยที่เหมาะสมขึ้นกับผลการวิเคราะห์ดิน โดยการใส่ปุ๋ยครั้งแรกควรใส่พร้อมกับการปลูกอ้อย หรือหลังตัดแต่งตออ้อยไม่เกิน 15 วัน ส่วนการใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ควรใส่ห่างจากการใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 ประมาณ 3-4 เดือน ในการใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินมีความชื้น โดยโรยข้างแถวอ้อยห่างประมาณ 30-50 เซนติเมตร และต้อง<br />
ฝังกลบปุ๋ย ยกเว้นการใส่ปุ๋ยรองพื้น<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การให้น้ำ สำหรับพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ควรให้น้ำตามร่องก่อนทำการปลูกอ้อย โดยให้น้ำประมาณเศษสามส่วนสี่ของร่อง และไม่ต้องระบายน้ำออก มีการให้น้ำเสริมอย่างน้อย 3 ครั้ง คือในช่วงปลูก อ้อยแตกกอ และย่างปล้อง เพื่อทำให้อ้อยมีการเจริญเติบโตอย่าง<br />
ต่อเนื่อง<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การกำจัดวัชพืช กำจัดวัชพืชด้วยแรงงาน หรือเครื่องจักรกล 1-2 ครั้ง ในช่วงอ้อยอายุ 1-2 เดือน หรือก่อนวัชพืชออกดอก ในกรณีที่การกำจัดวัชพืชไม่มีประสิทธิภาพ ควรพ่นสารกำจัดวัชพืช เช่น อะทราซีน เมทริบูซีน ไดยูรอน พ่นคลุมดินหลังปลูกอ้อย (ก่อนอ้อยและวัชพืชงอก) พ่นในขณะที่ดินมีความชื้นสูง ส่วนอามีทรีน พ่นหลังปลูกอ้อย ก่อนอ้อยและวัชพืชงอกหรืองอกหลังปลูกเมื่อวัชพืชมี 4-5 ใบ เฮกซาซิโนน หรือ ฮิมาซาพิค พ่นคลุมดินหลังปลูกอ้อย ก่อนอ้อยงอกและสามารถฉีดพ่นได้ถึงแม้ว่าดินมีความชื้นต่ำAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-44926333380999594292013-05-18T03:56:00.005-07:002013-05-18T03:56:40.349-07:00พันธุ์ อ้อย<br />
<b><span style="color: #cc0000;">พันธุ์ อ้อย</span></b><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" class="borderBottomDot3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td colspan="2"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="2" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td width="85%"> อ้อยเป็นพืชที่สะสมน้ำหนักและความหวานได้สูงเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
คือระยะก่อนหรือหลังออกดอกเช่นเดียวกับพืชทั่วไป
หลังจากนั้นความหวานและน้ำหนักจะลดลง
ดังนั้นชาวไร่อ้อยจึงควรปลูกอ้อยซึ่งมีอายุการเก็บเกี่ยวต่างกัน
ซึ่งมี 3 ประเภทได้แก่ </td>
<td width="15%"><table border="0" cellspacing="0" class="borderBlue" style="width: 10%px;">
<tbody>
<tr>
<td><img height="333" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/content031.jpg" width="250" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td width="7%">1.</td>
<td class="borderBottomDot2" width="93%">อ้อยพันธุ์เบา คืออ้อยที่มีอายุการเก็บเกี่ยวระหว่าง
8-10 เดือน ผลผลิตต่อพื้นที่และคุณภาพจึงสูงสุด
เหมาะสำหรับปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวในต้นฤดูหีบอ้อย
เช่น อู่ทอง 3 เค 90-77 เป็นต้น </td>
</tr>
<tr>
<td>2.</td>
<td class="borderBottomDot2">อ้อยพันธุ์กลาง คืออ้อยที่มีอายุการเก็บเกี่ยวระหว่าง
11-12 เดือน ผลผลิต และคุณภาพจึงสูงสุด
เหมาะสำหรับปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวระหว่างกลางฤดูหีบอ้อยเช่น
เค 84-200 เป็นต้น </td>
</tr>
<tr>
<td>3.</td>
<td class="borderBottomDot2">อ้อยพันธุ์หนัก คืออ้อยที่มีอายุการเก็บเกี่ยวมากกว่า
12 เดือน ขึ้นไป เหมาะที่จะปลูกเพื่อ
เก็บเกี่ยวช่วงท้ายฤดูการหีบอ้อย เช่น
อู่ทอง 1, เค 88-92 เป็นต้น</td>
</tr>
<tr>
<td></td>
<td><div align="right">
</div>
</td>
</tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" class="borderBottomDot3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td class="orangeH"></td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH">การเตรียมท่อนพันธุ์</td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH"></td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td colspan="2"><table border="0" cellspacing="2" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td colspan="2"> ท่อนพันธุ์อ้อยที่ดีและสมบรูณ์จะทำให้เปอร์เซ็นต์ความงอกของอ้อยสูง
ซึ่งมีผลโดยตรงกับผลผลิตอ้อย ท่อนพันธุ์อ้อยที่นำมาปลูก
จึงควรมาจากแปลงที่มีการดูแลรักษาดี
มีความสม่ำเสมอ ตรงตามพันธุ์ ปราศจากโรคและแมลง
มีอายุเหมาะสม 8-10 เดือน เป็นต้น
ปัจจุบันท่อนพันธุ์อ้อยมีราคาแพง
ดังนั้นเกษตรกรจึงควรทำแปลงพันธุ์อ้อยไว้ใช้เอง
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อพันธุ์อ้อย
อันเป็นการวางแผนการปลูกอ้อยที่ถูกต้อง
และลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและแมลง
การทำแปลงพันธุ์อ้อยมีขั้นตอนในการปฏิบัติดังนี้
<br />
<table border="0" cellspacing="1" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td width="33%"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="borderBlue">
<tbody>
<tr>
<td><img src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/caneB-03.jpg" width="300" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
<td width="67%"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="borderBlue">
<tbody>
<tr>
<td><img height="215" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/caneB-01.jpg" width="300" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td width="33%"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="borderBlue">
<tbody>
<tr>
<td><img height="188" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/caneB-02.jpg" width="250" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
<td></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td width="7%"><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2" width="93%">ใช้ท่อนพันธุ์อ้อยจากแหล่งที่ปราศจากโรค
เช่น โรคใบขาว เหี่ยวเน่าแดง แส้ดำ กอตะไคร้
</td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2">แปลงพันธุ์ที่ปลูกต้นฝน ให้ตัดอ้อยที่มีอายุ
8 - 10 เดือน ส่วนแปลงปลูกปลายฤดูฝนให้ตัดอ้อยพันธุ์ที่มีอายุ
10 - 11 เดือน </td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2">นำท่อนพันธุ์ไปชุบน้ำร้อน 50 องศาเซลเซียส
2 ชั่วโมง หรือ 52 องศาเซลเซียส ครึ่งชั่วโมง
เพื่อป้องกันโรคใบด่าง โรคตอแคระแกร็น
โรคกลิ่นสัปปะรด ลดการเป็นโรคใบขาว และโรคกอตะไคร้
</td>
</tr>
<tr>
<td><ul>
<li></li>
</ul>
</td>
<td class="borderBottomDot2">สำรวจแปลงพันธุ์อ้อยอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามีพันธุ์ปน
หรือมีต้นที่เป็นโรคให้ทำการขุดอ้อยทั้งกอเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที
ถ้าพบการทำลายของหนอนกอลายจุดใหญ่ ให้ตัดเฉพาะลำอ้อยที่ถูกทำลายแล้วทำลายหนอน </td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-27945138763459083632013-05-18T03:54:00.003-07:002013-05-18T03:54:37.622-07:00การปลูกอ้อย ในบ้านเรา<br />
<strong>การปลูกอ้อย ในบ้านเรา</strong><br />
<strong>มีสองรูปแบบคือ </strong><br />
<strong><br /></strong>
<strong><br /></strong>
<strong>1.ใช้แรงงานคน รายท่อนพันธุ์ใส่ร่องที่ได้ใช้รถแทรกเตอร์เปิดร่องไว้ แล้วจึงเดินใช้จอบสับท่อนพันธุ์ ออกเป็นท่อนๆ</strong><br />
<strong>และ</strong><br />
<strong><br /></strong>
<strong>2.ใช้เครื่องปลูกอ้อยติดท้ายรถแทรกเตอร์</strong><br />
<strong>โดยนำลำอ้อยบรรทุกใส่เครื่องปลูก กระบวนการทำงานดังรูป ประกอบ</strong><br />
<strong>ลองเปรียบเทียบดูนะครับ .................</strong><br />
<strong><br /></strong>
<img alt="" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/991/large_planting.JPG?1287970354" width="640" /><br />
<br />
ปลูกแบบไทยก็ดี เพราะกระจายรายได้(คนรับจ้าง)
สร้างความสามัคคี(คนตัดอ้อยได้คุยกันสนุกสนาน) ไม่มีมลพิษ(ใช้แรงคน)
ผลผลิตไม่ต้องมาก(ประหยัด)<br />
<br />
<br />
ทุกวิธีการ มีข้อดี แต่ก็มีข้อจำกัด อยู่ในตัวเอง ครับ<br />
ผมส่งเสริมการลงเเขก เอาแรงกัน แต่ข้อจำกัด คือ<br />
ถึงเวลา เเดดร้อน คนงานหายาก<br />
มันเดินหน้าต่อไม่ได้ครับ <br /><br /><span style="text-decoration: underline;">การปลูกอ้อยแบบ SSI </span>ถือว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าอ้อย เเละการขยายพันธุ์โดยไม่ต้องใช้ทั้งท่อนเหมือนที่เคยปฏิบัติ ลดพื้นที่ เพิ่มรายจ่าย...<br /><span style="text-decoration: underline;"><br /></span><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" class="borderBottomDot3" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="orangeH" colspan="2"><b><span style="color: blue;">สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่อ้อยต้องการ</span></b></td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH" colspan="2"> </td>
</tr>
<tr>
<td> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3">
<tbody>
<tr>
<td bgcolor="#FFFFFF" width="192"><img height="153" src="http://oan.cdmediaguide.co.th/mitrphol/onweb/images/all-about-sugar/content014.jpg" width="190" /></td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td height="120">
อ้อยเป็นพืชเขตร้อน ความยาวของช่วงวันที่เหมาะสมประมาณ
11.5-12.5 ชั่วโมง และอุณหภูมิเฉลี่ยที่เหมาะสมตลอดฤดูการปลูกประมาณ
26-30 องศาเซลเซียส สามารถปลูกในดินทรายจนถึงดินเหนียวจัด
แต่ดินที่เหมาะสำหรับปลูกอ้อยคือดินร่วนทราย
หรือดินร่วนเหนียว มีค่าความเป็นกรด-ด่าง
ตั้งแต่ 4.5 ถึง 8.5 และมีความลึกของหน้าดินพอสมควรและระบายน้ำหรืออากาศได้ดี
จนถึงปานกลาง </td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
</tbody></table>
</td>
</tr>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" class="borderBottomDot3" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr>
<td class="orangeH"> </td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH"><span style="color: #cc0000;"><b> ฤดูกาลปลูกอ้อย</b></span></td>
</tr>
<tr>
<td class="orangeH"> </td>
</tr>
<tr>
<td> ในประเทศไทยมีฤดูกาลปลูกอ้อยแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศและลักษณะการตก<br />ของฝน
และมีการเรียกชื่อแตกต่างกันดังนี้ </td>
</tr>
<tr>
<td class="borderBottomDot2"><blockquote>
1. อ้อยข้ามแล้งหรือปลายฝน ปลูกระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม
โดยอาศัยความชื้นที่เก็บไว้ในดินตลอดช่วงฤดูฝน
เพื่อให้อ้อยงอกและเจริญเติบโตอย่างช้า
ๆ ในช่วงที่ไม่มีฝนตกจนกระทั่งต้นปี ถัดไปจะมีฝนตกบ้าง
ดินที่เหมาะสมคือดินร่วนปนทรายหรือดินทราย
<br />
</blockquote>
</td>
</tr>
<tr>
<td class="borderBottomDot2"><blockquote>
2. อ้อยชลประทาน อ้อยน้ำราด
หรืออ้อยน้ำเสริม
ปลูกระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
วิธีการปลูกอ้อยน้ำราดเป็นการปลูกอ้อยโดยอาศัยความชื้นจากการให้น้ำเสริม
เพื่อช่วยให้อ้อยสามารถงอกและเจริญเติบโตได้จนเข้าสู่ฤดูฝนปกติ
สภาพดินที่เหมาะสมคือดินเหนียวหรือดินร่วนเหนียว
มักอยู่ในเขตชลประทาน
หรือมีแหล่งน้ำพอสมควร
<br />
</blockquote>
</td>
</tr>
<tr>
<td class="borderBottomDot2"><blockquote>
3. อ้อยต้นฝนเร็ว
ปลูกระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน
เป็นการปลูกอ้อยโดยอาศัยความชื้นจากฝนช่วงแรกที่ตก
เพื่อให้อ้อยงอกและเจริญเติบโตได้จนเข้าสู่ฤดูฝนปกติ
ดินที่เหมาะสมคือดินเหนียวหรือดินร่วนเหนียว
โดยต้องมีการเตรียมดินและชักร่องรอฝน
ซึ่งปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอต่อการงอกของอ้อยสังเกตได้จากร่องอ้อยจะมีน้ำขัง
<br />
</blockquote>
</td>
</tr>
<tr>
<td class="borderBottomDot2"><blockquote>
4. อ้อยต้นฝน ปลูกระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
โดยอาศัยน้ำฝนในการงอกและเจริญเติบโต ดินที่เหมาะสมคือดินเหนียวหรือดินร่วนเหนียว </blockquote>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<span style="text-decoration: underline;"><br /></span><br />
<br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-51261375552389951212013-05-18T03:46:00.001-07:002013-05-18T03:46:22.831-07:00การปลูกอ้อย ด้วยวิธี SSI + ดูงานโครงการปลูกอ้อยสูตร 100 ตันต่อไร่<br />
<div class="row-fluid">
<div class="span6">
<div class="alert alert-info">
เป็นทางเลือกในการเพิ่มผลผลิต อ้อย และลดการสูญเสียของท่อนพันธุ์ลงได้ </div>
</div>
</div>
<div class="row-fluid">
<div class="span11">
<h4>
หลังจากผมลงบันทึกแรก</h4>
<h4>
เรื่อง ตามติดชีวิตเกษตรกร ไปในตอนแรก</h4>
<h4>
เป็นเรื่องของ "การจัดระเบียบการปลูกข้าว"</h4>
<h4>
ไปแล้ว ก็เป็นตอนที่สอง มาว่ากันด้วย "อ้อย"</h4>
<h4>
ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ</h4>
<br />
<br />
<h4>
เป็นแนวทางศึกษาเเบบเปรียบเทียบในการหาวิธีการเพาะปลูกในแบบต่างๆ
เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่(Yield) การลดต้นทุนการผลิต
เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อม
และรูปแบบการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย</h4>
<br />
<h4>
เรื่องข้าว ก็เป็นวิธีการเเบบ SRI ติดตามข้อมูลได้ที่</h4>
<h4>
<span style="background-color: yellow;">http://info.worldbank.org/etools/docs/library/245848/overview.html</span></h4>
<h4>
เรื่องอ้อย ก็เป็นวิธีการเเบบ SSI ติดตามข้อมูลได้ที่</h4>
<h4>
<span style="background-color: yellow;">http://assets.panda.org/downloads/ssi_manual.pdf</span><span style="background-color: yellow;"> </span>
</h4>
<h1>
<span style="background-color: cyan;">สรุปย่อ</span></h1>
<h4>
เป็นแนวทางปลูกอ้อยเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ส่งเสริมในอินเดีย</h4>
<h4>
ลดการใช้ท่อนพันธุ์ลง ใช้เฉพาะตาอ้อย</h4>
<h4>
ลำอ้อยที่เหลือ ก็เอาไปขายได้</h4>
<h4>
<img border="0" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/566/large_Slide2m.JPG?1287896355" width="640" /></h4>
<h4>
แตกต่างจากวิธีการเพาะปลูกเเบบเดิม ที่ใช้</h4>
<h4>
อ้อยทั้งลำ ใส่ลงในเครื่องปลูก และผ่านชุดตัดท่อน
และวางลงในดิน (มีเปอร์เซนต์ในการสูญเสียมากกว่า อาจตาย
หรือไม่งอก)</h4>
<h4>
<img border="0" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/547/large_Slide3n.JPG?1287895150" width="640" /></h4>
<h4>
วิธีนี้เอาตาอ้อย มาอนุบาล ก่อนลงเเปลงปลูก 25-35 วันในกะบะหลุม
แล้วบ่มให้รากงอก ก่อนลงเเปลงเเผ่</h4>
<h4>
ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการปลูกได้มากขึ้น (จำนวนต้นต่อไร่)</h4>
<h4>
<img border="0" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/548/large_Slide4n.JPG?1287895196" width="640" />
</h4>
<h4>
อ้อย มีพื้นที่ว่าง รับแสง ระยะห่างระหว่างแถว 1.5 เมตร (5 ฟุต)
และปลูกเเบบสลับฟันปลา เพื่อไม่ให้อ้อยเบียดเเย่งเเสงกัน อ้อยมีการแตกลำ
ได้มากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มผลผลิต ต่อไร่</h4>
<h4>
<img border="0" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/550/large_Slide5n.JPG?1287895223" width="640" />
</h4>
<h4>
พัฒนาการคล้าย การทำนาดำ ด้วยรถ คือมีการอนุบาลกล้า
ก่อนลงเเปลงปลูก</h4>
<h4>
ก่อนการใช้รถปักดำ ครับ</h4>
<h4>
<img border="0" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/551/large_Slide6n.JPG?1287895255" width="640" /></h4>
<h4>
ข้อจำกัดด้วยวิธีนี้ ยังไม่สามารถพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้
(ปลูกในเเปลงใหญ่) ต้องใช้เครื่องปลูกต้นอ้อย อนุบาลมาต่อยอด
สามารถทดลองปลูกในพื้น ก่อนได้ครับ สำหรับชาวไร่อ้อย ที่มีพื้นที่น้อย
ครับ</h4>
<hr />
<strong>ตามไปชม...> อ้อยในประเทศไทย</strong><br />
<br />
<h2>
<span style="background-color: yellow;">โครงการปลูกอ้อยสูตร
100 ตันต่อไร่</span></h2>
<h2>
นับเป็นความภูมิใจของกลุ่มวังขนาย
และมุ่งมั่นที่จะนำความสำเร็จนี้ขยายสู่เกษตรกรชาวไร่อ้อย
ให้สามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนในพื้นที่เพาะปลูกที่มีจำกัดได้
อีกทั้งยังรองรับแผนการขยายอ้อยพันธุ์ดีเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยปลูกขยายพันธุ์ในรูปแบบอ้อยอินทรีย์
ซึ่งเป็นอ้อยธรรมชาติบริสุทธิ์ที่นำไปแปรรูปเป็นน้ำตาลธรรมชาติบริสุทธิ์ที่แท้จริงได้ในที่สุด</h2>
ที่มา:<br />
<h3>
<span style="background-color: yellow;">http://www.wangkanai.co.th/new/activity.php?Id=109</span></h3>
<h3>
<span style="background-color: yellow;">http://wangkanai.co.th/new/activity.php?Id=108</span></h3>
<hr />
<br />
<h4>
ในอนาคตคาดว่า น่าจะมีรถสำหรับปลูกด้วยวิธีการดังกล่าวได้</h4>
ตาม concept เดิมครับ<br />
<h4>
<img border="0" height="480" src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/635/266/large_Slide8a.JPG?1287810079" width="640" /></h4>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-48985773345793933452013-05-18T03:41:00.003-07:002013-05-18T03:41:54.719-07:00พันธุ์อ้อยยอดนิยม<br />
<div class="post_author">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/author/admin/" title="Posts by admin"></a> </div>
<div class="entry">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi4.jpg"><img alt="พันธุ์อ้อย กำแพงแสน 98-024" class="alignleft size-full wp-image-27" height="207" src="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi4.jpg" title="พันธุ์อ้อย กำแพงแสน 98-024" width="154" /></a><br />
<br />
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 98-024 (Kps 98-024)<br />
<ul>
<li><strong>พ่อ x แม่ </strong>กพส 93-1-25 x กพส 93-10-10</li>
<li><strong>ทรงกอ</strong> กว้าง</li>
<li><strong>สภาพพื้นที่เหมาะสม </strong>ดินร่วนปนทราย ดินเหนียว เขตน้ำฝน และเขตชลประทาน</li>
<li>ผลผลิตอ้อย 14-17 ตันต่อไร่</li>
<li>ความหวาน 11-13 ซีซีเอส</li>
<li>อายุเก็บเกี่ยว 11-12 เดือน</li>
<li>ความต้านทานโรค ยังไม่พบการเกิดโรค</li>
<li>การเจริญเติบโต ปานกลาง</li>
<li>การไว้ตอ ดี<br /></li>
</ul>
</div>
<br />
<div class="post_author">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/author/admin/" title="Posts by admin"></a> </div>
<div class="entry">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi3.jpg"><img alt="พันธ์อ้อย กำแพงแสน 98-005" class="alignleft size-full wp-image-23" height="203" src="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi3.jpg" title="พันธ์อ้อย กำแพงแสน 98-005" width="157" /></a><br /><br />อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 98-005 (Kps 98-005)<br />
<ul>
<li>พ่อ x แม่ กพส 93-1-25 x กพส 93-10-10</li>
<li><strong>ทรงกอ</strong> กว้าง</li>
<li><strong>สภาพพื้นที่เหมาะสม </strong>ดินร่วนปนทราย เขตชลประทาน</li>
<li>ผลผลิตอ้อย 16-18 ตันต่อไร่</li>
<li>ความหวาน 12-13 ซีซีเอส</li>
<li>อายุเก็บเกี่ยว 11-12 เดือน</li>
<li>ความต้านทานโรค ต้านทานโรคแส้ดำปานกลาง</li>
<li>การเจริญเติบโต ช้าในช่วงแรก</li>
<li>การไว้ตอ ดี</li>
</ul>
</div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<div class="post_author">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/author/admin/" title="Posts by admin"></a> </div>
<div class="entry">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi2.jpg"><img alt="พันธุ์อ้อยกำแพงแสน 94-13" class="alignleft size-full wp-image-19" height="200" src="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi2.jpg" title="พันธุ์อ้อยกำแพงแสน 94-13" width="162" /></a><br /><br />พันธุ์แนะนำ อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 94-13 (Kps 94-13)<br />
<ul>
<li>พ่อ x แม่ กพส 89-20 open</li>
<li>ทรงกอ กว้าง</li>
<li>สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนทราย เขตน้ำฝน</li>
<li>ผลผลิตอ้อย17-18 ตันต่อไร่</li>
<li>ความหวาน 12-14 ซี.ซี.เอส</li>
<li>อายุเก็บเกี่ยว 11-12 เดือน</li>
<li>ความต้านทานโรค ต้านทานปานกลางต่อโรคแส้ดำ</li>
<li>การเจริญเติบโต เร็ว</li>
<li>การไว้ตอ ดี</li>
</ul>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-47467427284892651522013-05-18T03:39:00.000-07:002013-05-18T03:39:09.806-07:00รณรงค์เลิกเผาไร่อ้อยก่อนตัด<b><span style="color: blue;">รณรงค์เลิกเผาไร่อ้อยก่อนตัด</span></b><br /><br />
<div class="post_author">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/author/admin/" title="Posts by admin"></a> </div>
<div class="entry">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi6.jpg"><img alt="เผาไร่อ้อย" class="alignleft size-medium wp-image-35" height="175" src="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi6-300x254.jpg" title="เผาไร่อ้อย" width="207" /></a><br /><br />กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยถึงปริมาณอ้อยไฟไหม้ส่งโรงงานที่มีแนวโน้มสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี
ว่าในฤดูการผลิตปี 2551/52 ที่ผ่านมา
มีอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานน้ำตาลทั้งประเทศสูงถึงร้อยละ 64 ความหวานเฉลี่ย
12.28 CCS. โดยในภาคตะวันออกมีอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานน้ำตาลสูงที่สุด
มากถึงร้อยละ 75 และความหวานเฉลี่ย 11.88 CCS.
ซึ่งเป็นระดับความหวานต่ำที่สุดของประเทศ<br />
<span id="more-34"></span>อย่างไรก็ตามการเผาอ้อย
ก่อนตัดเพื่อนำเข้าโรงงานมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทุกปี
เนื่องจากการตัดอ้อยเผาเป็นที่นิยมของแรงงานตัดอ้อย
เพราะมีรายได้มากกว่าการตัดอ้อยสด
ซึ่งเป็นผลจากค่าจ้างตัดอ้อยคิดตามน้ำหนัก
และในแต่ละวันการตัดอ้อยเผาจะตัดได้ปริมาณมากกว่า<br />
จากปัญหาดังกล่าว หน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องทั้งในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และกระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องร่วมมือกันในการพัฒนาเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยว
เพื่อป้องกันการขาดแคลน แรงงานในอนาคต และดำเนินมาตรการเร่งด่วน
สร้างแรงจูงใจและรณรงค์ลดการเผาอ้อยอย่างจริงจัง
โดยชี้แจงเกษตรกรชาวไร่อ้อยและแรงงานเก็บเกี่ยว
ให้เข้าใจถึงผลกระทบจากการเผาอ้อย
เนื่องจากการเผาอ้อยจะทำให้สูญเสียน้ำหนักและคุณภาพความหวาน
ซึ่งหากตัดทิ้งไว้ในไร่นาน ๆ คุณภาพความหวานจะยิ่งลดต่ำลง
และยังถูกตัดราคาตามประกาศของโรงงานและคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
รวมทั้งมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนมาก เพราะอ้อยเผาจะมีน้ำตาลเยิ้มออกมาที่ลำอ้อย
หากตัดวางสัมผัสกับพื้นดินก็จะมีเศษหิน ดิน ทราย ปนเข้ามา
และเมื่อลำเลียงขึ้นรถเพื่อขนส่งจะทำให้สิ่งสกปรกติดปนเปื้อนเข้ามามากขึ้น<br />
นอก จากนี้ การเผาอ้อย
จะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงและทำให้โครงสร้างของดินไม่เหมาะสมต่อการ
เจริญเติบโตของอ้อย ทำให้เสียค่าใช้จ่ายดูแลรักษาเพิ่มขึ้น
เพราะไม่มีเศษซากอ้อยต่าง ๆ คลุมดิน เกิดวัชพืชขึ้นง่าย โตเร็ว
ส่งผลต่อต้นทุนการกำจัดวัชพืชเพิ่มขึ้นตาม
อีกทั้งการเผาจะทำให้ตออ้อยถูกทำลาย อ้อยงอกช้ากว่าปกติหรืออาจจะไม่งอกเลย
การเจริญเติบโตช้า ไว้ตอไม่ได้ และไม่ทนทานต่อสภาพความแห้งแล้ง
และยังทำลายแมลงที่มีประโยชน์ เช่น ตัวห้ำ-ตัวเบียน
ที่ช่วยควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูถูกทำลาย
เกิดการระบาดของแมลงศัตรูอ้อยได้ง่าย เช่น หนอนกอ
ตลอดจนอาจส่งผลต่อตลาดน้ำตาล
เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วอาจจะนำมาเป็นข้ออ้างงดซื้อน้ำตาลจากประเทศไทย
ได้ เนื่องจากการเผาอ้อยจะทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
และภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น<br />
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายร่วมกันให้ข้อมูลแก่เกษตรกร
ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาคุณภาพของอ้อยแล้ว
ยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมตอบรับกระแส ลดมลพิษ ลดโลกร้อนที่ทุกคน
ทุกชาติกำลังตื่นตัวกันอยู่ในขณะนี้อีกด้วย.<br /><br />
<strong>ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 8 มกราคม 2553</strong></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-86769045332011910642013-05-18T03:37:00.001-07:002013-05-18T03:37:17.649-07:00วัชพืชและการควบคุมกำจัดวัชพืชในไร่อ้อย <br />
<strong>วัชพืชและการควบคุมกำจัดวัชพืชในไร่อ้อย <br /></strong><br />
<strong><a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi5.jpg"><img alt="ไร่อ้อย การควบคุมวัชพืช" class="alignleft size-thumbnail wp-image-31" height="320" src="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi5-150x150.jpg" title="ไร่อ้อย การควบคุมวัชพืช" width="320" /></a><br /><br />ชนิดของวัชพืช </strong><br />
<ol>
<li>วัชพืชใบกว้าง เป็นวัชพืชใบเลี้ยงคู่
ลักษณะแผ่นใบกว้างเมื่อเทียบกับความยาวใบ
เส้นใบจัดเรียงเป็นร่างแหหรือตาข่าย การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่ใช้เมล็ด เช่น
ผักเบี้ยหิน โคกกระสุน ผักยาง สาบเสือ ฯลฯ</li>
<li>วัชพืชใบแคบ เป็นวัชพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ลักษณะแผ่นใบแคบเมื่อเทียบกับความยาวใบเส้นใบจัดเรียงลักษณะขนานกับด้านใบ
การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่ใช้เมล็ดรากและลำต้น ฯลฯ วัชพืชพวกนี้มี 2 กลุ่ม คือ
<ol>
<li>วงค์หญ้า จะมีลำต้นกลม ข้อปล้องชัดเจน มีจุดเจริญอยู่ใต้ดิน และตามข้อ เช่น หญ้าตีนกา หญ้าตีนนก ฯลฯ</li>
<li>วงค์กก จะมีลำต้นส่วนใหญ่เป็นเหลี่ยม แต่ไม่มีข้อปล้องเหมือนกับวัชพืชอื่น เช่น กกทราย แห้วหมู ฯลฯ</li>
</ol>
</li>
</ol>
<span id="more-30"></span><br />
<strong>ความรุนแรงของวัชพืช</strong><br />
วัชพืชแต่ละชนิดจะมีความรุนแรงต่ออ้อยแตกต่างกัน เช่น
วัชพืชใบแคบจะมีความรุนแรงมากกว่าวัชพืชใบกว้าง วัชพืชอายุยาว (หลายฤดู)
จะมีความรุนแรงกว่าวัชพืชอายุสั้น (ฤดูเดียว)
ความหนาแน่นวัชพืชมากจะมีความรุนแรงต่ออ้อยมากตามไปด้วย<br />
<strong>การแข่งขันระหว่างอ้อยและวัชพืช</strong><br />
ถึงแม้ประเทศไทยจะผลิตน้ำตาลส่งออกเป็นสำคัญต้นๆ ของโลก
แต่ถ้าพิจารณาในด้านผลผลิตอ้อยต่อไร่ ยังถือว่าต่ำกว่าต่างประเทศมาก
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตอ้อย คือ
วัชพืชซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญมากที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยการแย่งธาตุอาหาร ความชื้น แสงแดด
และเป็นที่อยู่อาศัยของโรคและแมลงหลายชนิด
นอกจากนี้การกำจัดวัชพืชของชาวไร่ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกต้องและเหมาะสม เช่น
มักกำจัดวัชพืชเมื่อวัชพืชงอกแล้ว และมีปริมาณมาก หรือ
หลังวัชพืชออกดอกหรือเลือกใช้สารกำจัดวัชพืชไม่เหมาะสม ฯลฯ<br />
อ้อยเป็นพืชปลูกที่ต้องการช่วงปลอดวัชพืชอย่างน้อย 3 – 4 เดือน ดังผลงานวิจัยของ เกียวพันธ์ สุวรรณรักษ์และคณะ พบว่า<br />
<ul>
<li>การกำจัดวัชพืชเมื่ออ้อยอายุ 1 – 4 เดือน ผลผลิต 16.2 ตัน/ไร่</li>
<li>การกำจัดวัชพืชเมื่ออ้อยอายุ 2 – 4 เดือน ผลผลิต 12.1 ตัน/ไร่ 25.3%</li>
<li>การกำจัดวัชพืชเมื่ออ้อยอายุ 3 – 4 เดือน ผลผลิต 9.5 ตัน/ไร่ 41.1%</li>
<li>การกำจัดวัชพืชเมื่ออ้อยอายุ 4 เดือน ผลผลิต 5.7 ตัน/ไร่ 64.8%</li>
<li>การกำจัดวัชพืชเมื่ออ้อยอายุ 5 เดือน ผลผลิต 2.5 ตัน/ไร่ 84.6%</li>
<li>ไม่กำจัดวัชพืช ผลผลิต 1.9 ตัน/ไร่ 88.3%</li>
</ul>
ดังนั้น ชาวไร่จำเป็นต้องควบคุมวัชพืช ให้ทันเวลาเพื่อให้ได้ผลผลิตเต็มที่<br />
<strong>การกำัจัดวัชพืชในไร่อ้อย</strong><br />
หมายถึง
วิธีการจัดการลดการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างอ้อยกับวัชพืชซึ่งมีหลายวิธีการ
เช่น การใช้การเขตกรรม การใช้เครื่องมือเครื่องจักรและการใช้สารเคมี
วิธีการจัดการวัชพืชในไร่อ้อยจะให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องผสมผสานวิธี
การให้เหมาะสม โดยพิจารณาจากต้นทุนและผลกำไรเป็นหลัก<br />
หลักสำคัญการกำจัดวัชพืชในไร่อ้อย<br />
<ol>
<li>ต้องเตรียมดินดี จะต้องให้เศษวัชพืชเก่าตายให้หมด</li>
<li> ต้องให้อ้อยมีช่วงปลอดวัชพืชอย่างน้อย 4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มปลูกถึงย่าปล้อง)</li>
<li>อ้อยที่ปลูกต้องงอกดี และสม่ำเสมอ</li>
</ol>
วิธีการกำจัดวัชพืชที่นิยมมี 3 วิธี<br />
<ol>
<li>การกำจัดวัชพืชด้วยการเขตกรรม</li>
<li>การกำจัดวัชพืชด้วยเครื่องมือเครื่องจักร</li>
<li> การกำจัดวัชพืชด้วยสารเคมี</li>
</ol>
<strong>การกำจัดวัชพืชด้วยเขตกรรม</strong><br />
การกำจัดวัชพืชด้วยเขตกรรมถือว่าเป็นการจัดการวัชพืชเชิงอนุรักษ์
โดยอาศัยประสบการณ์หลายด้าน ทั้งในด้านพืช สภาพแวดล้อมและการจัดการ
เพื่อลดความรุนแรงของวัชพืชเท่านั้น
ถึงแม้การควบคุมวัชพืชไม่ดีมากเหมือนวิธีอื่นๆ แต่การลงทุนน้อยมากๆ
เพราะอาศัยประสบการณ์ที่เรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน
การกำจัดวัชพืชด้วยเขตกรรมให้มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานกับวิธีอื่นๆ เช่น<br />
<ol>
<li>ฤดูปลูก เช่น การปลูกอ้อยข้ามแล้ง</li>
<li>ระยะปลูก เช่น ระยะแคบ 80 ซม. ฯลฯ</li>
<li>พันธุ์อ้อย (งอกเร็ว แตกกอ ทรงกอกว้างใบใหญ่)</li>
<li>วัสดุคลุมดิน เช่น ใบอ้อย ฯลฯ</li>
<li>การปลูกพืชแซม (ต้องเก็บเกี่ยวก่อนอ้อยแตกกอ)</li>
</ol>
<strong>การกำจัดวัชพืชด้วยเครื่องมือเครื่องจักร</strong><br />
เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก
แต่วิธีการนี้จะต้องใช้เงินทุนครั้งแรกสูงสุดกับเครื่องจักร เครื่องมือ
แต่เมื่อเทียบระยะเวลาที่ใช้คนและปริมาณงานที่ได้แล้วถือว่าเป็นการกำจัด
วัชพืชที่มีต้นทุนต่ำ วิธีการนี้เหมาะสมกับไร่อ้อยขนาดใหญ่
และมีปัญหาด้านแรงงานด้วย<br />
ประสิทธิภาพการกำจัดวัชพืชด้วยเครื่องมือขึ้นอยู่กับ<br />
<ol>
<li>ชนิดดินและการเตรียมดิน</li>
<li>ชนิดความหนาแน่นและขนาดวัชพืช</li>
<li> ฤดูกาลและช่วงเวลาทำงาน</li>
<li>ทักษะและประสบการณ์ทำงาน</li>
</ol>
เครื่องมือในการกำจัดวัชพืช แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ<br />
<ol>
<li>เครื่องต้นคำสั่ง (แทรกเตอร์) จะบ่งถึงปริมาณงานที่ได้หรือความเร็วในการทำงานมีหลายขนาด เช่น แทรกเตอร์ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก</li>
<li>ชนิดเครื่องมือเกษตร การใช้เครื่องมือจะขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด และปริมาณวัชพืช มี 3 กลุ่มใหญ่ๆ
<ol>
<li>คราด เช่น คราดสปริง คราดขาแข็ง คราดลูกหญ้า</li>
<li>พรวน เช่น พรวน 6จาน พรวน 12จาน</li>
<li>จอบหมุน</li>
</ol>
</li>
</ol>
<strong>การกำจัดวัชพืชโดยใช้สารเคมีในไร่อ้อย</strong><br />
<ol>
<li> สารคุมวัชพืช ฉีดหลังปลูก หลังตัดแต่งตอพรวนดินใส่ปุ๋ยก่อนวัชพืช
<ol>
<li> อิมาซาฟิค+เพนดิเมทาสิน (คาเดร+สตอมฟ์) สามารถฉีดพ่นได้แม้ดินชื้นน้อย ควบคุมได้ทั้งใบแคบ ใบกว้าง และแห้วหมู<br />
ข้อดี หน้าดินถูกรบกวน ยายังคงประสิทธิภาพดีกว่าสารชนิดอื่น<br />
ข้อเสีย คุมวัชพืชตระกูลถั่วไม่ได้ อัตรา 50 ซีซี+400 ซีซี/1 ไร่</li>
<li>อาทราซีน ไดยูรอน เมตริบูซีน คุมได้ทั้งใบแคบและใบกว้าง
มีทั้งเม็ดและผง ขณะฉีดดินต้องมีความชื้น ถ้าดินแห้งจะไม่ได้ผล
หลังฉีดห้ามเข้าไปรบกวนหน้าดิน อัตรา 125 กรัม/1 ไร่</li>
</ol>
</li>
<li>สารคุมและฆ่าวัชพืช ฉีดหลังปลูกหลังจากแต่งตอพรวนดินใส่ปุ๋ยก่อนวัชพืชงอกหรือหลังวัชพืช
<ol>
<li>สารที่มีชื่อการค้าลงท้ายด้วย คอมบี พวกนี้จะฉีดพ่นดินต้องมีความชื้น อัตราตามฉลาก</li>
<li>เฮกซาซิโนน+ไดยูรอน (เวลปาร์-เด) ฉีดพ่นในดินชื้นน้อยห้ามพ่นทับยอดอ้อย
พื้นที่ต่ำน้ำขังหรือสภาพแวดล้อมเป็นนข้าว ไม่ควรใช้อัตรา 375-500
กรัม/ไร่</li>
<li>พาราควอท+อาทราซีน หรือพาราควอท+เมตริบูซีน
ฉีดทับยอดอ้อยได้ในที่ที่อ้อยเริ่มงอกใบยังไม่คลี่ คือ มี 5-4 ใบ
พาราควอทจะฆ่าสารคุมจะได้อีก 2-3 เดือน อัตราพาราควอท 50 ซีซี+อาทราซีน
400–600 กรัม/1 ไร่</li>
</ol>
</li>
<li>สารฆ่าวัชพืช
<ol>
<li>สัมผัสตาย ฆ่าสีเขียวทุกชนิด เช่น พาราควอท อัตรา 300-500 ซีซี/ไร่</li>
<li>ดูดซึม จะดูดซึมเข้าทางใบและทางรากจะทำให้วัชพืชตายถึงรากถึงเหง้า</li>
</ol>
<ul>
<li>ไกลโฟเซท
จะดูดซึมทางใบถ้าดินชื้นจะดูดซึมทางรากทำให้วัชพืชถึงรากถึงโคน
แต่จะใช้เมื่ออ้อยย่างปล้องแล้วถ้าใช้กับอ้อยเล็กจะกระทบกับอ้อย อัตรา
500–750 ซีซี/ไร่</li>
<li>อะมีทรีน มีทั้งเม็ดและผงฉีดพ่นเมื่อวัชพืชงอกมีใบ 3-4 ใบหรือไม่เกิน
15ซม. สามารถฉีดทับอ้อยได้โดยไม่ชงักยกเว้น
พันธุ์ฟิลิปปินส์ต้องฉีดขณะดินมีความชื้น</li>
<li>ทูโพดี ใช้กำจัดเถาวัลย์เชือกเถาและใบกว้างอื่นๆ ในไร่อ้อยและปลอดภัยต่อต้นอ้อย</li>
<li>บาซาเซ่ ใช้กำจัดวัชพืชทั้งใบแคบและใบกว้าง อัตรา 660–760 ซีซี/ไร่</li>
</ul>
</li>
</ol>
<strong>เทคนิคการใช้สารคุมและฆ่าวัชพืชใ้ห้มีประสิทธิภาพ</strong><br />
<ol>
<li>ชนิดของสารกำจัดวัชพืช ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม</li>
<li>คุณภาพของน้ำมีใช้ฉีดพ่น การหลีกเลี่ยงการใช้น้ำขุ่นหรือน้ำสกปรกมาก</li>
<li>อัตราสารและปริมาณน้ำมีใช้ต่อพื้นที่ ต้องทราบปริมาณน้ำที่ใช้ต่อใช้
จึงจะให้การฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
เพราะอัตราสารที่ใช้จะมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำที่ใช้ต่อไร่
ถ้าหากคำนวณปริมาณน้ำผิดพลาด นอกจากไม่ได้ผลแล้ว
อาจเกิดอันตรายต่อต้นอ้อยด้วย เนื่องจากได้รับสารน้อยหรือมากเกินไป</li>
<li>สภาพก่อน/หลังฉีดพ่น เช่น ความชื้นฝน แสงแดด ลม ฯลฯ</li>
<li>ต้องฉีดพ่นให้สม่ำเสมอและทั่วถึง</li>
</ol>
<strong>การวัดปริมาณน้ำที่ใช้ต่อพื้นที่ในการฉีดสารเคมีในไร่อ้อย</strong><br />
วัตถุประสงค์ :เพื่อให้ทราบปริมาณน้ำที่ใช้ต่อไร่<br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
<ol>
<li>สายเทปวัดระยะ</li>
<li>มาตรวัดน้ำ 1 ลิตร</li>
<li>ถ้วยตวงน้ำทรงกรวย</li>
<li>ถังน้ำพลาสติก</li>
<li>นาฬิกา</li>
<li>เครื่องฉีดยา 1 ชุด</li>
<li>รถไถ</li>
<li>รถบรรทุกน้ำ</li>
<li>ยา</li>
<li>แรงงาน</li>
</ol>
วิธีการปฏิบัติ<br />
โดยการใช้ระยะเวลา 1 นาที/1 หัวฉีด (การทดสอบต้องเช็คทุกหัวฉีด)<br />
ติดตั้งปั้มฉีดยาเสร็จ ติดเครื่องปั้มเปิดวาร์ว
ตรวจเช็คความสม่ำเสมอของหัวฉีด เตรียมวัสดุต่างๆ ให้พร้อม เช่น ถังพลาสติก
ถ้วยตวง ฯลฯ เช็คน้ำเดินสม่ำเสมอทุกหัวฉีด
จับเวลาพร้อมใช้ถังพลาสติกกรองรับน้ำจากหัวฉีด 1 หัว โดยจับเวลา 1 นาที
พอครบนำถังน้ำออกมาทำการวัดโดยเทใส่กระบอกลิตรว่าได้จำนวนเท่าใด (มาตรฐาน
170–180 ลิตร/ไร่)<br />
วัดน้ำเสร็จให้ทำการวัดระยะโดยการเคลื่อนไหวรถไถไปข้างหน้าพร้อมกับเดิน
เครื่องฉีดยาโดยจับเวลา 1 นาที วัดจากเริ่มต้นจนถึงสิ้นสุด 1 นาที
วัดระยะดูว่าเท่าไหร่ (ประมาณ 50 เมตร)
และทำการวัดความกว้างของหัวฉีดด้วยทั้งหมดได้เท่าไหร่<br />
การคำนวณ<br />
น้ำ 1 หัวฉีด X จำนวนหัวทั้งหมด = น้ำที่ใช้ทั้งหมดต่อนาที เช่น 1 หัวฉีด 1 นาที วัดน้ำได้ 5 ลิตร<br />
ถ้าทั้งหมดมี 8 หัว = 5 X 8<br />
1 นาที จะใช้น้ำ = 40 ลิตร (8 หัวฉีด)<br />
การคำนวณพื้นที่ = ความกว้างของหัวฉีดทั้งหมด X ระยะความยาวที่วัดได้ 1 นาที<br />
สมมุติความกว้าง = 7.5 เมตร<br />
ความยาว/นาที = 50 เมตร<br />
1 นาทีจะวัดได้พื้นที่ = 7.5 X 50<br />
= 375 m2<br />
ถ้าพื้นที่ 1 ไร่ จะใช้น้ำเท่าไหร่<br />
= 5 X 8 = 40 ลิตร/นาที<br />
= 7.5 X 40 = 375 m2<br />
ถ้าพื้นที่ 1 ไร่ = 1600 m2 จะใช้น้ำ = 40 คูณ 1600 หาร 375<br />
1 ไร่ จะใช้น้ำ = 170.66 ลิตร/ไร่<br />
การใส่ปริมาณยาก็ปฏิบัติตามฉลากได้<br />
การปรับตั้งเพื่อให้ได้ปริมาณน้ำตามความต้องการ<br />
<ol>
<li>ปรับเปลี่ยนขนาดของหัวฉีดยา</li>
<li>เพิ่มหรือลดจำนวนหัวฉีดยา</li>
<li>เพิ่มหรือลดความเร็วของรถฉีด</li>
<li>เพิ่มหรือลดแรงดันของปั้มฉีดยา ฯลฯ</li>
</ol>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-4518830012113662662013-05-18T03:34:00.003-07:002013-05-18T03:34:52.003-07:00การปลูกอ้อย พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ<br />
<div class="post_author">
<a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/author/admin/" title="Posts by admin"></a> </div>
<div class="entry">
<div>
<strong><a href="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi.jpg"><img alt="การปลูกอ้อย" class="size-medium wp-image-12 alignleft" height="166" src="http://www.xn--z3cb4aa6izai.com/wp-content/uploads/2010/10/aoi-300x234.jpg" title="การปลูกอ้อย" width="213" /></a><br /><br />อ้อย</strong>
เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศ
มีอายุเก็บเกี่ยว 10-12 เดือน เก็บผลผลิตได้ 2-3 ปี
สภาพแวดล้อมพันธุ์และการบำรุงดูแลรักษาเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลิตและ
คุณภาพของอ้อยอ้อยสามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกประเภท
ตั้งแต่ดินร่วนถึงดินร่วนปนทราย พื้นที่ปลูกควรเป็นที่ราบ
ควรหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยในดินเหนียวจัด ดินทรายจัดและดินลูกรัง</div>
<div>
<span id="more-8"></span></div>
<div>
<strong>การเตรียมพันธุ์</strong><strong><br />
</strong><strong> </strong>พันธุ์อ้อยควรมาจากแปลงอ้อยที่เจริญเติบโตดี
ตรงตามพันธุ์ ปราศจากโรคและแมลง มีอายุประมาณ 8-10 เดือน
ถ้าต้องทิ้งพันธุ์อ้อยที่ตัดไว้แล้วในไร่
ควรคลุมท่อนพันธุ์ด้วยใบอ้อยแห้ง เพื่อป้องกันตาอ้อยแห้ง
เกษตรกรควรมีแปลงพันธุ์อ้อยไว้ใช้เองเพื่อลดค่าใช้จ่าย
อ้อยจากแปลงพันธุ์ 1 ไร่ (อายุ 7-8 เดือน) ปลูกขยายได้ 10 ไร่
สำหรับแปลงพันธุ์ ควรแช่ท่อนพันธุ์ในน้ำร้อนนาน 2 ชั่วโมง
เพื่อป้องกันโรคใบขาว และกอตะไคร้
จากนั้นแช่ท่อนพันธุ์มนสารเคมีโพรนิโคนาโซล อัตรา 66 ซีซี/น้ำ20 ลิตร
นาน 30 นาที เพื่อป้องกันโรคแส้ดำ เหี่ยวเน่าแดง<br />
และกลิ่นสัปปะรด</div>
<div>
</div>
<div>
<strong>ฤดูกาลปลูก</strong><br />
การปลูกอ้อยในปัจจุบัน สามารถแบ่งตามฤดูกาลได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />
<strong>การปลูกอ้อยต้นฝน</strong> ซึ่งยังแบ่งออกเป็น 2 เขต คือ<br />
- ในเขตชลประทาน (20% ของพื้นที่ปลูกอ้อยทั่วประเทศ) ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วง<br />
เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน<br />
- ในเขตอาศัยน้ำฝน ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน<br />
<strong> การปลูกอ้อยปลายฝน</strong> (การปลูกอ้อยข้ามแล้ง)
สามารถทำได้เฉพาะในบางพื้นที่ของภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก
ที่มีปริมาณและการกระจายของฝนดีและดินเป็นดินทรายเหนือดินร่วนปนทราย
การปลูกอ้อยประเภทนี้จะปลูกประมาณกลางเดือนตุลาคม-ถึงเดือนธันวาคม</div>
<div>
<strong> </strong><strong>การเตรียมดิน</strong><br />
ไถเตรียมดินให้ลึกขณะมีความชื้นพอเหมาะ และควรลงไถดินดานทุกครั้งที่มีการรื้อตอเพื่อปลุกอ้อยใหม่โดยไถเป็นรูปตาหมากรุก<br />
- ถ้าปลูกต้นฤดูฝนหรือปลูกอ้อยใช้น้ำชลประทาน ไม่จำเป็นต้องไถพรวนให้ดินแตก<br />
- อ้อยปลายฝนหรือปลูกอ้อยข้ามแล้ง ต้องไถพรวนจนหน้าดินแตกละเอียด เพื่อช่วยลด ความสูญเสียความชื้นภายในดินให้ช้าลง</div>
<div>
<strong>วิธีการปลูก</strong><strong><br />
</strong> - ถ้าใช้คนปลูกจะยกร่องกว้าง 1.4-1.5 เมตร (เดิมใช้ 1.3
เมตร) วางพันธุ์อ้อยเป็นลำโดยใช้ลำเดี่ยว เกยกันครึ่งลำหรือ2
ลำคู่ตามลักษณะการแตกกอของพันธุ์อ้อยที่ใช้<br />
- ถ้าใช้เครื่องปลูก หลังจากเตรียมดินแล้ว
ไม่ต้องยกร่องจะใช้เครื่องปลูกติดท้ายแทรกเตอร์ โดยจะมีตัวเปิดร่อง
และช่องสำหรับใส่พันธุ์อ้อยเป็นลำ
และมีตัวตัดลำอ้อยเป็นท่อนลงในร่องและมีตัวกลบดินตามหลัง
และสามารถดัดแปลงให้สามารถใส่ปุ๋ยรองพื้น พร้อมปลูกได้เลย
ปัจจุบันมีการใช้เครื่องปลูกทั้งแบบแถวเดี่ยวและแถวคู่
โดยจะปลูกแถวเดี่ยวระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ในกรณีใช้พันธุ์อ้อยที่แตกกอมาก
และจะปลูกแถวคู่ ระยะแถว 1.4-1.5 เมตร ระยะระหว่างคู่แถว 20-30
เซนติเมตร ในกรณีใช้พันธุ์อ้อยที่แตกกอน้อย</div>
<div>
<strong>การใส่ปุ๋ย</strong><br />
โดยแบ่งใส่ปุ๋ยเป็น 2 ครั้ง ใช้สูตรที่ 2 สำหรับปาล์น้ำมันและพืชผักผลไม้<br />
<strong>ใส่ปุ๋ยครั้งแรก :</strong> <span style="color: #3333ff;"><span style="color: black;">ใส่ปุ๋ยรองพื้น ใส่ก่อนปลูกหรือพร้อมปลูก</span> </span>ไถ พลวน ชักร่องแล้วปลูก<br />
ปริมาณ 60 – 80 กิโลกรัม / ไร่<br />
<strong>ใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง : </strong>ใส่ปุ๋ยแต่งหน้า อ้อยอายุไม่เกิน 3 – 4 เดือน<span style="color: #3333ff;"><br />
<span style="font-family: Angsana New;"> </span></span>ปริมาณเดิม 60 – 80 กิโลกรัม / ไร่</div>
<div>
<strong>การป้องกันกำจัดวัชพืช</strong><strong><br />
</strong> – ใช้แรงงานคนดายหญ้าในช่วงตั้งแต่ปลูกจนถึงอายุ 4 เดือน<br />
-ใช้เครื่องจักรไถพรวนระหว่างร่องหลังปลูก เมื่อมีวัชพืชงอก<br />
- ใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อคุมฆ่า</div>
<div>
<strong>ปัจจุบันเกษตรกรมีการเผาใบอ้อยกันมาก</strong><br />
- การเผาใบอ้อยก่อนเก็บเกี่ยว
เนื่องจากขาดแคลนแรงงานทำให้ตัดอ้อยได้เร็วไม่ต้องลอกกาบใบ
อ้อยที่เผาใบถ้าไม่รีบตัดส่งโรงงานทันทีจะทำให้เสียน้ำตาลและคุณภาพความ
หวาน และต้องจ่ายค่ากำจัดวัชพืช
และให้น้ำเพิ่มขึ้นในอ้อยตอแนวทางแก้ไข คือ
ถ้าส่งโรงานไม่ทันต้องตัดอ้อยไฟไหม้กองไว้ในไร่
ซึ่งจะสูญเสียความหวานน้อยกว่าทิ้งไว้ในไร่<br />
- การเผาใบอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว
เนื่องจากเกษตรกรต้องการป้องกันไฟไหม้อ้อยตอ
หลังจากที่มีหน่องอกแล้วและทำให้ใส่ปุ๋ยได้สะดวกกลบปุ๋ยง่าย
แต่มีผลเสียตามมา คือ<br />
* เป็นการทำลายวัตถุอินทรีย์ในดิน<br />
* ทำให้สูยเสียควสามชื้นในดินได้ง่าย<br />
* หน้าดินถูกกชะล้างได้ง่าย<br />
* มีวัชพืชในอ้อยตอขึ้นมาก<br />
* มีหนอกอเข้าทำลายมากขึ้น<br />
แนวทางแก้ไข คือ ใช้เครื่องสับใบอ้อย คลุกเคล้าลงดิน ระหว่างแถวอ้อย และถ้าต้องการเผาใบอ้อยจริงๆ ควรให้น้ำในอ้อนตอทันที<br />
จะช่วยลดการตายของอ้อยตอลงได้<br />
- การเผาใบก่อนการเตรียมดิน เกษตรกรทำเพื่อให้สะดวกในการเตรียมดินปลูก เพราะล้อรถแทรกเตอร์จะลื่นเวลาไถ<br />
มีผลเสียตามมาคือ เป็นการทำลายอินทรีย์วัตถุ ดินอัดแน่นทึบ ไม่อุ้มน้ำ น้ำซึมลงได้ยาก<br />
แนวทางแก้ไข คือการใช้จอบหมุนสับเศษอ้อย และคลุกเคล้าลงดินก่อนการเตรียมดิน ทำให้ไม่ต้องเผาใบอ้อยก่อนการเตรียม</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-88814730003528345702013-04-16T05:54:00.004-07:002013-04-16T05:54:45.019-07:00รถตัดในความชอบแบบจริงๆจังๆ<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A3065_Pack-gas.jpg" vspace="5" />
<br />
<img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td><br />
<span style="color: #009900;">รถตัดในความชอบแบบจริงๆจังๆ เพื่อเหมาะสมกับ บอร์ด สอน. มีดังนี้(ขอเรียนว่าต้องใช้ภาษาสุภาพ)</span><br />
<span style="color: #003300;"><span style="color: #009900;">1. ใช้เครื่องยนต์
ชนิด(ไบโอ)ดีเซล อัตรารับประทานน้ำมัน เฉลี่ยต่อตัน(ย้ำ ต่อ ตัน) ไม่เกิน 1
ลิตร ณ.สภาพอ้อย กติกาบังคับ ประมาณ 12 ตันต่อไร่ ร่องยาวไม่น้อยกว่า 90
เมตร มีที่กลับรถ(ถนนรอบหัวแปลง)</span></span>-
ผมไม่แน่ใจว่าการใช้เครื่องยนต์ไบโอดีเซลแท้ๆ จะใช้ต้นทุนเท่าไหร่
แต่ถ้าเป็นการปรับปรุงเครื่องยนต์เดิมให้ใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซลนั้นคงใช้
ต้นทุนไม่มาก
โดยการเพิ่มอุปกรณ์อุ่นเชื้อเพลิงป้องกันเชื้อเพลิงเป็นไขอีกสักชุดก็น่าจะ
พอ ปัญหาที่เหลือคือการหาน้ำมันไบโอดีเซลมาเติมให้ได้
พร้อมกันนี้ผมอยากเสนอให้มองการนำแกส NGV หรือ LPG มาเป็นเชื้อเพลิง
..แนวคิดนี้ได้มาจาก ศิษย์รุ่นน้อง ที่ทำงานอยู่ Double A
ซึ่งได้นำเอาระบบแกส NGV มาใช้ในเครื่องจักรกลหนัก-แบ็คโฮล์
โดยการใช้แพ็ค(ถัง)แกสซึ่งยกเปลี่ยนได้เพื่อนำไปเติมหรือสลับกับแพ็คแกสชุด
ใหม่
แต่การดัดแปลงเครื่องยนต์ให้ใช้แกสได้นี้เป็นเรื่องใหญ่ต้องค่อยๆคุยกันใน
รายละเอียด ไม่อยากให้มองข้ามไป
เพราะโดยส่วนตัวเชื่อว่าน้ำมันเชื้อเพลิงจะไม่มีวันลดราคาลง<br />
<span style="color: #009900;">2. มีระบบที่ไม่ซับซ้อน บำรุงรักษาง่าย มีเกลียวดึงอ้อยด้านหน้า มีพัดลมสับและเป่าใบอ้อยอย่างน้อย 1 ชุด</span><br />
<span style="color: #009900;">3. น้ำหนักรถตัด ไม่เกิน 5 ตัน รวมน้ำมันเต็มถัง</span>-
ข้อนี้คงเพื่อป้องกันการอัดตัวแน่นของชั้นดินที่เกิดจากน้ำหนักเครื่องจักร
และรถบรรทุก ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะขณะตัดอ้อย
แต่เกิดตลอดเวลาที่มีการนำเครื่องจักรเข้าดูแลรักษาอ้อย..
น้ำหนักเครื่องจักรเป็นสาเหตุประการหนึ่ง
คือยิ่งหนักชั้นดินก็ยิ่งมีการอัดแน่นมาก
เราพอจะช่วยได้โดยการเปลี่ยนระบบรองรับน้ำหนักเป็นแบบสายพาน..
ผมเคยอธิบายไว้ในกระทู้หนึ่งว่าเครื่องจักรสายพานจะมีพื้นที่รับแรงเท่ากับ
ความกว้างหน้าแทร็คคูณความยาวช่วงแทร็ค เมื่อเฉลี่ยแล้วพื้นที่ 1
ตารางนิ้วจะรับน้ำหนักไม่กี่กิโลกรัม ขณะที่เครื่องจักรแบบล้อยาง
น้ำหนักเครื่องจักรจะเฉลี่ยลงเฉพาะที่จุดสัมผัสระหว่างจุดล่างของยางกับผิว
ดิน (นึกภาพวงกลม-ล้อ แตะเส้นตรง-ผิวดิน) ซึ่งมีพื้นที่ไม่มาก
ดังนั้นแรงกดที่ดินต้องรับจึงมีมากกว่า.. <b>คุณ-นายส่งเสริม</b> กับ <b>Mr.Tommy</b>
อาจจะนึกเปรียบเทียบระหว่างการใช้นิ้วกดเส้นกับการใช้ฝ่ามือคลึงคลายความ
เครียดกล้ามเนื้อ ว่าจะให้ความรู้สึกที่ต่างกัน
ส่วนท่านอื่นอาจจะเปรียบเทียบระหว่างการใช้ 2 มืออุ้มถุงข้าวสาร 5 กก.
กับการใช้นิ้วเดียวเกี่ยวหิ้วถุงข้าว 5 กก.
ก็พอจะทราบโดยคร่าวๆเกี่ยวกับความหมายของคำว่าพื้นที่รับแรง<br />
<span style="color: #009900;">4. สามารถ สลับล้อยางและแทร็กได้ ในเวลา ไม่มาก</span>-
ข้อนี้ดีมากครับ
ระหว่างทำงานเราใช้แทร็คเพื่อลดแรงกดที่กระทำต่อชั้นดินและเพิ่มแรงเสียดทาน
ต่อพื้นผิว เครื่องจักรใช้กำลังขับเคลื่อนได้เต็มที่ไม่ลื่นไถล
ไม่ปัดป่ายซ้ายขวา
ความยาวของช่วงแทร็คช่วยให้รักษาระดับได้ง่ายไม่มุดไม่ยกไปตามระดับผิวดิน
คนขับควบคุมระดับใบมีดตัดอย่างเดียว และเมื่อต้องการย้ายแปลงไปที่ไกลๆ
นับสิบ กม.ก็เปลี่ยนเป็นล้อยางเพื่อให้แล่นได้เร็วขึ้น
และเคลื่อนไปได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องง้อเทรลเลอร์(ต้องเสียรถบรรทุกอีกคันมาลาก)
แทร็คยางไม่สึกเพราะถนนกัด และในกรณีที่เป็นแทร็คเหล็ก
ซี่แทร็คจะสร้างความเสียหายให้ผิวถนนเป็นร่องๆ..
เคยได้ยินว่าทางหลวงที่รักคิดค่าปรับกันเป็นจำนวนรอย!<br /><br /></td></tr>
</tbody></table>
<br />ขอข้ามมาคุยใน<strong>"ข้อคิดเห็นที่11"</strong>ก่อนนะครับ<br />
<span style="color: #003300;"><span style="color: red;">1. คนงานตัดอ้อยเกลียดเถ้าแก่.!!!!</span></span>..
ใช้คำไม่สร้างสรรค์ครับ ควรใช้คำว่า คนงานรักเถ้าแก่
มากเท่ากับที่เถ้าแก่รักคนงาน
ไอคนที่แอบจุดเผาอ้อยแปลงที่กำลังจะเอารถตัดเข้าทำงาน
น้ำมันก็เสียเท่าเดิมแต่ไม่ได้ใบอ้อย ถูกหักค่าอ้อยไฟ
แถมยังต้องแบ่งอ้อยไฟให้ เจ้าคนจุดช่วยตัดซะอีกแน่ะ<br />
<span style="color: red;">2. ค่าซ่อม/อะไหล่แพง (ถ้าจะเล่นแต่ของแท้ ไม่แปลง)</span><br />.. อะไหล่พวกโอริงบางตัว พึ่งให้ลูกน้องเอาเวสป้าไปซื้อมาแพ็คถุงกะมือเมื่อกี้แท้ๆ ว่างั้นเหอะ<br />
<span style="color: red;">3. เกิดการแพ๊คหน้าดินระหว่างร่อง(ก็รถมันวิ่งทุกร่อง 10ล้อมันก็วิ่งทุกร่อง)</span><br />.. ทำริบเปอร์ติดท้ายรถบรรทุกซะเลยดีมั้ย วิ่งรับอ้อยไป ระเบิดดานไปด้วยซะให้รู้แล้วรู้รอด<br />
<span style="color: red;">4. จ่ายค่าน้ำมันเพิ่ม..</span><br />.. ในราคาแพงขึ้นทุกวัน<br />
<span style="color: red;">5. โรงงาน บางโรงงาน ไม่ชอบ.</span><br />.. ????????????<br />
<span style="color: red;">6. ทางหลวง ไม่ชอบ จับน้ำหนักก็ไม่ได้ จับใส่สูงก็ไม่ได้ จับท้ายยื่นก็ไม่ได้ สม..</span><br />.. แต่ก็หาเรื่องจับจนได้สิน่า.. ฮ่าๆๆๆ<br />
<span style="color: red;">7. รัฐฯไม่ชอบ เพราะเก็บภาษีได้น้อย (ก็เขาถอดมาเป็นชิ้นๆแล้วตีว่ามือสองเซียงกง...จบ)</span><br />.. ถือว่าหนทางเพื่อการอยู่รอดตามวิถีแบบไทยๆก็แล้วกันครับ<br />
<span style="color: red;">8. คนงานคลุกใบไม่ชอบ ก็มีงานเพิ่ม..ต้องขับรถคลุกใบ.. มันไม่เท่ย์....</span><br />.. เท่ย์กว่าอีตอน มอมแมม หูตาเหลือก ช่วยกันดับไฟไหม้ใบแห้งตอนหน้าแล้งละกัน ขอ บอก<br />
<span style="color: red;">9. ชาวบ้านไม่ชอบ เพราะเดี๋ยวนี้ เจ้าของไร่
ไม่ให้ตบนกแล้ว..(เวลาตัดอ้อย จะมีนกนางแซวมาบินจับแมลง ชาวบ้านจะเอาด่าง
มาตบนก วันนึงเฉลี่ยได้เกือบ 30 ตัว.. )</span><br />.. สงสัยเถ้าแก่เนี้ยจะไม่ชอบมากกว่ามั้ง เพราะท้ายที่สุดเถ้าแก่เหมานกมาทอดกระเทียม มาวกะลูกน้องคาไร่ไม่เข้าบ้าน..<br />
<span style="color: red;">10. ออสซี่ไม่ชอบ เพราะเราคนไทย เอามาแล้วดัดแปลงจน ฝรั่งเสียหน้า..</span><br />..
เมื่อวานได้คุยกับบริษัทเครื่องมือนำเข้าตัวใหม่
แนะไปว่าเวลาจะขายให้คนไทยต้องนำเข้ามาเป็นล็อต แล้วขายรวดเดียวให้หมด จะ
10 ตัวก็ต้องหมดรวดเดียว ขืนอ้อยสร้อยนำเสนอขายทีละตัวโดนพี่ไทยลอกแบบหมด
แถมปรับปรุงจนดีกว่าซะอีกแน่ะ.. ก็พูดได้แค่นี้ ไม่กล้าแนะนำอะไรมากกว่านี้
เดี๋ยวเซล์จะมองหน้าย้อนว่า "ถ้าพี่รู้ดีนัก ไหงโหงวเฮ้งกระจอกจัง
ไม่เห็นรวยสักที"<br />
<span style="color: red;">จบแล้ว</span><br />.. ยัง.. ยังไม่ให้จบครับ ช่วยผมป่วนพี่เว็บต่อก่อนเหอะ<br /><br />
<strong>ต่อด้วย "ความคิดเห็นที่8" ครับ</strong><br />
<span style="color: red;">รถตัดที่เป็นรถตัดในฝ้นของกระผม...<br />1. ราคาไม่เกิน 30 บาทรักษาทุกโรค ...ล้อเล่น... ราคา ไม่เกิน 1 ล้าน และ 2 ล้าน</span><br />.. ราคา 30 บาท ซื้อดอกไม้จันทร์ได้ทุกโรคครับ.. อ๊ะ ล้อเล่นเหมือนกัน..<br />ราคาไม่เกิน 1 ล้าน ทำได้นะครับ แต่เป็นแบบไม่สางใบ ตัดยอด ตัดโคน วางกอง ใช้รถไถเป็นต้นกำลัง<br />ราคา
2 ล้านหรือกว่าไปหน่อยๆ "ดูเหมือนจะทำได้จริงๆ นะครับ"
แต่เป็นราคาชิ้นส่วนในประเทศที่ไม่ต้องเสียค่าขนส่ง ค่าภาษีนำเข้า
และต้อง..ไม่ได้บอกผ่านเลยครับเฮีย อะไรทำนองเนี้ย<br />
<span style="color: red;">2. ใช้เครื่องยนต์ รถสิบล้อ หรือ รถไถ (ร้อยกว่าแรง ก็พอ ไม่ต้องเวอร์มาก)</span>..
ต้องใช้เครื่องยนต์ รถยนต์รุ่นที่มีจำหน่ายในประเทศอยู่แล้วครับ
เพราะง่ายต่อการสต็อคอะไหล่
และโดยเทคนิคแล้วเราต้องการใช้เครื่องยนต์มาขับปั้มไฮดรอลิก
จึงเน้นที่แรงม้า แรงบิด รอบเครื่อง ไม่เกี่ยวกะหน้าตาเครื่อง<br />
<span style="color: red;">3. อะไหล่ หาได้ตามท้องตลาด ... ไม่ใช่ต้องสั่งจาก บ. โดยตรง (แม่ง..โขกราคา)</span>..
แต่ยังไงก็ต้องให้มีบริษัทเป็นผู้รวบรวมข้อมูลอะไหล่อยู่ดีแหละครับ
เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพอะไหล่ อะไหล่หน้าตาคล้ายกัน แต่ราคาที่ต่างกัน
คุณภาพอาจจะต่างกันมาก ถ้าใช้อะไหล่คุณภาพต่ำเพราะเอาราคาถูกเข้าว่า
อาจจะมีผลต่ออายุการใช้งาน ทำให้ต้องเสียค่าแรงรื้อเปลี่ยนบ่อยๆ Mr.Tommy
เล่นระบบไฮดรอลิคมานานคงทราบดีว่า อะไหล่โอริงราคาร้อยเดียว
ค่าแรงรื้อซ่อมราคาพัน! ค่าใช้จ่ายเดินทางมาบริการของบริษัทอีกหลายพัน!!!<br /> ของแพง-อาจจะไม่ใช่ของดี แต่ของดี-ต้องแพงเสมอ ของดีราคาถูก-ไม่มี อะไรประมาณนั้น<br />
<span style="color: red;">4. สามารถใช้ประโยชน์มากกว่าตัดอ้อย !!! นั่นคือ
หมดหน้าตัด ก็เอาอุปกรณ์อื่นๆไปติดตั้ง ใช้เป็นบักแบ็คโฮมั่ง
เป็นเครื่องขุดมันสำปะหลังมั่ง เอาไปเกี่ยวข้าวมั่ง
(โอ้ย..บ้าไปกันใหญ่แล้ว)</span><br />.. เอ้า
ข้อนี้ไปกันใหญ่แล้วครับคุณพี่ครับ
โดยโครงสร้างของเครื่องตัดอ้อยมันคงไม่เหมาะที่จะทำอะไรอื่นมากกว่าตัดอ้อย
จะทำเป็นแบ็คโฮล์ก็ติดชุดสายพานลำเลียง
จะไปขุดมันก็ติดชุดใบตัดที่อยู่ใต้ท้อง
จะเอาไปฉุดลากอะไรมันก็วิ่งช้าเหลือใจแถมซดน้ำมัน..<br />เอ้อ..
แต่อาจมีทางเป็นไปได้เหมือนกันนะครับ
พึ่งนึกได้ว่าเวลานั่งกินข้าวอยู่ร้านโต้รุ่ง จะเห็นควาญพาช้างมาขอค่าอ้อย
สอบถามได้ความว่าหมดหน้าเทศกาลงานช้างที่สุรินทร์ก็เอาช้างมาตระเวนหาเงิน..<br />ฉะนั้น
แล้วหมดหน้าตัดอ้อย Mr.Tommy ล้างรถตัดให้สะอาด ลงสีให้แจ่มรูปการ์ตูน
ขนไปจอดกลางงานตลาดนัด เก็บตังค์เด็กคนละ 5 บาทให้มาปีนเล่น
จากบ่ายถึงมืดคงพอได้ค่าโซดาอยู่หรอกกระมัง<br />
<span style="color: red;">5. รัฐฯสนับสนุนเงินกู้ซื้อรถตัด ปลอดดอก 10 ปี ให้ชาวไร่ ...55555.. บ้าสุดๆ..</span><br />..
ทำเป็นเล่นไป เป็นไปได้นะเออ..
โดยการเลือกพรรคการเมืองที่รู้ใจชาวไร่ให้จัดตั้งรัฐบาล
รัฐฯจะหาทางตั้งงบฉุกเฉินไว้ล่วงหน้าเผื่อวิกฤตทางการเกษตร
จากนั้นรัฐฯจะสนับสนุนโครงการ"เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยการใช้เครื่อง
จักร" ให้ชาวไร่กู้เงินซื้อรถตัด ผ่านกองทุนอ้อยซึ่งไม่มีเงิน
จึงส่งต่อให้ธนาคารพานิชย์เป็นผู้ปล่อยกู้โดยมีรัฐบาลค้ำประกัน..
ค้ำประกันโดยเอางบฉุกเฉินนั้นแหละมาต่อรอง<br />กรณีเกิดวิกฤตจนชาวไร่ไม่มี
เงินคืนค่ารถตัด.. ก็ไม่ต้องคืน ก็..มันเป็นวิกฤตนี่คุณ ต้องช่วยๆกัน
ชาวไร่ก็สามารถเอาเงินค่ารถตัดไปจ่ายให้ลูกเรียนโรงเรียนเอกชนค่าเทอมแพงได้
จะได้จบไปเป็นเจ้าคนนายคน
ส่วนลูกคนงานก็ปล่อยให้โตเป็นคนงานตัดอ้อยต่อไปเพราะงบสร้างโรงเรียนใกล้
บ้านถูกแปรเป็นงบฉุกเฉินหมดแล้ว..<br /><strong> ประชดครับ ประชด ไม่ใช่สนับสนุน โธ่.. ทั่นก็</strong><br />
<span style="color: red;">6. ใครใช้รถตัดรุ่นนี้ รัฐฯต้องช่วยค่าน้ำมัน 30%(เรียนแบบประมง)</span>..
ยอมให้ชักค่าต๋งมั้ยล่ะครับ แบบว่าหักเป็นอ้อยไปสักหลายๆ
เปอร์เซ็นต์เพื่อให้รัฐฯเอาไปผลิตเอทานอลออกขายในตลาดทั่วไปแบบไม่ย้อนกลับ
มาคืนชาวไร่อีก<br />
<span style="color: red;">7. บริษัท ที่ผลิต ต้อง เป็น คนไทย และรัฐฯ สนับสนุนเงินกู้.. (บ้า)</span><br />..
อยู่แล้วล่ะครับ
ระเบียบพัสดุของทางราชการกำหนดให้จ้างให้ซื้อจากบริษัทคนไทยก่อน
ส่วนบริษัทที่ว่านั้นจะเป็นนอมินีของใครหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง<br />
<span style="color: red;">8. โรงงานฯต้องให้เข้าเทอ้อยภายใน 3 ชม. และไม่กระแดะ หักคิว..(ตลกสุดๆ)</span><br />.. ข้อนี้ไม่เข้าใจครับ จะกรุณาขยายความได้หรือไม่..หมายความว่าถ้าอธิบายแล้วจะยังส่งอ้อยได้เป็นปกติหรือไม่ 55555<br />
<span style="color: red;">9. ทางหลวง ต้องไม่ทำนา ช่วง เปิดหีบ ... อ้าว เละแล้ว...คร้าบนายtommy</span><br />.. กลับเข้าทางก่อนครับ เรื่องรถตัดอ้อยในความฝันไม่เกี่ยวกะทางหลวงครับพี่ครับ เว้นแต่พี่กำลังวิ่งเพื่อย้ายแปลงอยู่บนทางหลวง<br />
<span style="color: red;">10. เฮ้อ... ไม่เอาแล้ว นอกเรื่องไปเรื่อย... จบครับ..</span><br />..
ไม่นอกเรื่องเลยครับ ในเรื่องเลยล่ะ
แค่เกินกรอบความรู้ของผมและอาจจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายๆท่านที่ได้อ่าน
ยังไงก็ช่วยกันเล่าอะไร ๆที่นอกตำรากันอีกนะครับ ได้ความรู้ดีมั่กๆ<br />
<strong>.. แถมยังหาเรื่องมาให้ผมพลอยเสียวไปด้วยอย่างมั่กๆ<br /></strong><br />
<table bgcolor="#F1F1F1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="ntext" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="left" class="bluedouble" height="5"><div align="center">
<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A3066_711-20080110085255.jpg" vspace="5" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /></td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td> เครื่องยนต์ใหม่ครับใช้ NGV 100%
ผลิตมาจากเมืองจีน ยี่ห้อ เซี่ยงไฮ้ ดีเชล 260 แรงม้า ราคาไม่ทราบ
แต่ถ้าจับยัดลงในรถตัดอ้อยได้ ก็ทำงานได้
เพียงแต่ปัญหาของทางอุดรคือมีปั้มแกส NGV ปั้มเดียว
คงไม่สะดวกที่จะนำระบบนี้มาใช้งานได้จริง
จึงขอให้ถือว่าเป็นการอ่านเอาความรู้ไปพลางก่อนละกัน<br />
ระหว่างนี้ผมกำลังหาข้อมูลกับศิษย์รุ่นพี่ รุ่นน้อง
เกี่ยวกับวิธีแปลงเครื่องดีเซลให้ใช้แกส LPG ได้
เบื้องต้นทราบว่าทุกเครื่องที่ดัดแปลงแล้ว เจออาการลูกสูบแตกทุกเครื่อง
กำลังวิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไขอยู่ครับ
มีอะไรคืบหน้าจะเอามาบอกเล่าให้ทราบ ครับผม</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<br /><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-33544458552244661342013-04-16T05:51:00.003-07:002013-04-16T05:51:52.591-07:00รถตัดที่เป็นรถตัดในฝ้นของกระผม...<br /><br />
<table bgcolor="#F1F1F1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="ntext" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="left" class="bluedouble" height="5"><div align="center">
<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A2928_2006_0201surin220096_resize.JPG" vspace="5" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /></td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td> ต่อครับ <br />
รถตัดที่เป็นรถตัดในฝ้นของกระผม...<br />
1. ราคาไม่เกิน 30 บาทรักษาทุกโรค ...ล้อเล่น... ราคา ไม่เกิน 1 ล้าน และ 2 ล้าน<br />
2. ใช้เครื่องยนต์ รถสิบล้อ หรือ รถไถ (ร้อยกว่าแรง ก็พอ ไม่ต้องเวอร์มาก)<br />
3. อะไหล่ หาได้ตามท้องตลาด ... ไม่ใช่ต้องสั่งจาก บ. โดยตรง (แม่ง..โขกราคา)<br />
4. สามารถใช้ประโยชน์มากกว่าตัดอ้อย !!! นั่นคือ หมดหน้าตัด
ก็เอาอุปกรณ์อื่นๆไปติดตั้ง ใช้เป็นบักแบ็คโฮมั่ง
เป็นเครื่องขุดมันสำปะหลังมั่ง เอาไปเกี่ยวข้าวมั่ง
(โอ้ย..บ้าไปกันใหญ่แล้ว)<br />
5. รัฐฯสนับสนุนเงินกู้ซื้อรถตัด ปลอดดอก 10 ปี ให้ชาวไร่ ...55555.. บ้าสุดๆ..<br />
6. ใครใช้รถตัดรุ่นนี้ รัฐฯต้องช่วยค่าน้ำมัน 30%(เรียนแบบประมง)<br />
7. บริษัท ที่ผลิต ต้อง เป็น คนไทย และรัฐฯ สนับสนุนเงินกู้.. (บ้า)<br />
8. โรงงานฯต้องให้เข้าเทอ้อยภายใน 3 ชม. และไม่กระแดะ หักคิว..(ตลกสุดๆ)<br />
9. ทางหลวง ต้องไม่ทำนา ช่วง เปิดหีบ ... อ้าว เละแล้ว...คร้าบนายtommy<br />
10. เฮ้อ... ไม่เอาแล้ว นอกเรื่องไปเรื่อย... จบครับ..</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table bgcolor="#F1F1F1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="ntext" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="left" class="bluedouble" height="5"><div align="center">
<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A2926_IMG371_resize.jpg" vspace="5" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /></td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td> สวัสดี<br />
นานๆ มาที ตอนนี้กำลังตัดอ้อย ขายอ้อย <br />
ทำงานไป ยิ้มไป ว่างๆมาอ่านกระทู้ ยิ่ง ฉีกยิ้ม 5555 5555<br />
กระทู้ผ่านๆมา พูดเรื่องสอดไส้ อูยยยยยย นึกว่าอะไร<br />
สอดแบบนี้ มีเห็นบ่อยๆ ก็เพราะราคามันเป็นอย่างนี้ (แหนะ..โทษราคา...)<br />
เพื่อความอยู่รอด เขาก็ต้องหาทางออก.... อันนี้ ฉาน บ่ ได้ แก้ตัวแทนเด้อ<br />
แต่แบบนี้ ไม่รู้ว่า สอดไส้อะป่าว......เอ้า อ่านบรรทัดต่อไป...<br />
<br />
นาย ก. (อีกแล้วครับท่าน) ส่งอ้อยไปยังโรงงาน ข. (อีกๆแล้วๆ)<br />
อ้อย fire ทั้ง คัน <br />
เข้าเท จ้วด....(เทเร็วอะ)<br />
ใบชั่งออกมา...... 5555 5555 ............... (เติมเอาเอง)....<br />
แล้วนาย ก. เป็น คราย.... แล้วโรงงาน ข. เป็น คราย.... <br />
<br />
น้องส้มจุก ลองเป็น เจสัน บอรน์ อันเทอะเมทั่ม ตามสืบเอาเองเด้อ...<br />
<br />
ท่านๆ ชาวไร่ อย่าไปสนเลยครับ ตราบใด ที่ สถานะการณ์ มันเป็น ฉะนี้.....<br />
เป็นผม ก็จะไปขอส่งมั่งเหมือนกัลย์....... 555555 <br />
แต่เรื่องยัดไส้ มันบ่ดีดอก เรา เอากัน จะจะ ไปเลย...<br />
ไหม้ก็ไหม้ สด ก็สด เปิดเผยไปเลย ไม่ต้องนอมินีใคร....อ้าว...<br />
<br />
(สงสัยโดนลบแน่...เอ้า ท่านพี่ อูดอนแค้น...เฮ้ย อุดรเคน ตามแก้เอาเอง)<br />
<br />
เข้าประเด็น... รถตัด ตามกระทู้...<br />
รถตัดอ้อย มันตัดตั้งแต่ เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก (บางคัน) อ้อยที่พ่นสำรอกออกมา จะแตกต่างกัน...!!!!!!!<br />
ตัดก่อนอาทิตย์ขึ้น จนเริ่มทอแสง อ้อย จะมี ใบมามาก(กรณีอ้อยสดครับ)
เพราะว่า มันมีน้องน้ำค้าง มาปกคลุม เป่าเท่าไหร่ ก็ออกไม่หมด ครับ<br />
ตัดสายๆ เริ่มสะอาด ตัดบ่ายๆ แผลเริ่มมีดินทรายสัมผัส ตัดเย็นๆ
หร่อน(สะอาด)แต่ตอไม่ค่อยดีเพราะคนขับเริ่มเมื่อยล้าอยากพัก ตัดค่ำๆ ไม่ดี
เพราะเริ่มกะระยะชิดพื้นไม่ได้ แถมคนขับเริ่มจิบเหล้า... ตัดดึกๆ ไม่แนะนำ
มีแต่สูญเสียมากกว่าได้ เพราะ ต้องมี เด็กๆ มาให้กำลังใจ...555555</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table bgcolor="#F1F1F1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="ntext" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="left" class="bluedouble" height="5"><div align="center">
<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A2929_2006_01070090_resize.JPG" vspace="5" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /></td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td> จบไม่ลง ครับ<br />
ต่ออีก <br />
รถตัดในความชอบแบบจริงๆจังๆ เพื่อเหมาะสมกับ บอร์ด สอน. <br />
มีดังนี้(ขอเรียนว่าต้องใช้ภาษาสุภาพ)<br />
1. ใช้เครื่องยนต์ ชนิด(ไบโอ)ดีเซล อัตรารับประทานน้ำมัน เฉลี่ยต่อตัน(ย้ำ ต่อ ตัน)<br />
ไม่เกิน 1 ลิตร ณ.สภาพอ้อย กติกาบังคับ ประมาณ 12 ตันต่อไร่ ร่องยาวไม่น้อยกว่า 90 เมตร มีที่กลับรถ(ถนนรอบหัวแปลง)<br />
2. มีระบบที่ไม่ซับซ้อน บำรุงรักษาง่าย มีเกลียวดึงอ้อยด้านหน้า มีพัดลมสับและเป่าใบอ้อยอย่างน้อย 1 ชุด<br />
3. น้ำหนักรถตัด ไม่เกิน 5 ตัน รวมน้ำมันเต็มถัง<br />
4. สามารถ สลับล้อยางและแทร็กได้ ในเวลา ไม่มาก<br />
5. ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ตาม แรงม้าของรถ(100 แรง สัก 1 ล้าน เกินนั้นหากมีออฟชั่นอื่นๆ ก็ตามสภาพ)<br />
จบ..<br />
<span style="color: #f1f1f1;"></span></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br /><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-77028313347116551772013-04-16T05:49:00.001-07:002013-04-16T05:49:21.949-07:00เครื่องตัดอ้อยขนาดเล็ก<table bgcolor="#F1F1F1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="ntext" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="left" class="bluedouble" height="5"><div align="center">
<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A2913_2.jpg" vspace="5" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /></td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td> .. อย่างไรก็ตาม
เครื่องตัดอ้อยขนาดเล็กที่เราเห็นกันอยู่มากมายหลายรุ่นนี้
ส่วนใหญ่จะตัดแบบไม่ลิดใบ ชาวไร่ซื้อมาแล้วก็ต้องเผาอ้อยก่อนตัดอยู่ดี
ข้อนี้อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ชาวไร่ลังเลที่จะซื้อ.. ก็..
แหม
อุตส่าห์เสียเงินซื้อเครื่องตัดอ้อยมาใช้แล้วยังต้องถูกหักค่าอ้อยไฟไหม้
อีก..<br />
คงจะเคยได้ยิน <strong>"เครื่องสางใบอ้อย"</strong> นะครับ เจ้าเครื่องสางใบนี้ ใช้วิ่งเข้าระหว่างแถวอ้อยเพื่อสางใบอ้อยก่อนตัด ผมได้ข้อมูลจาก <strong>ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี</strong> ซึ่งพัฒนาเครื่องนี้อยู่ ทราบว่าเครื่องสางใบดังกล่าว สามารถสางใบอ้อยโดยเฉลี่ย 16 เมตร/ นาที หรือ 1 ไร่ ใช้เวลา 1 ชม. 10 นาที</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
เห็นแล้วน่าใช้นะครับ ราคาก็ไม่น่าจะสูงนัก แต่ดูแล้วก็คงตัดอ้อยแบบไม่ลิดใบ(อีกแล้ว)..<br />
เรื่องการจัดสร้างเครื่องตัดอ้อยขึ้นใช้งานนี่นะ
ผมว่าพี่ไทยเราก็เก่งไม่หยอก มุดดูต้นแบบแป๊บเดียวก็ลอกแบบมาทำเองได้แล้ว
ผมว่าปัญหาส่วนหนึ่งอยู่ที่การตั้งราคาขายซึ่งต้องให้ได้กำไร<br />
เราลองตั้งราคากันเล่นๆ ก่อนดีมั้ยครับ
เผื่อผู้ผลิตมาอ่านเจอแล้วสนใจว่าน่าจะทำกำไรได้
จะได้ออกแบบโดยเอาราคาเป็นตัวตั้ง และประสิทธิภาพก็เป็นไปตามราคา<br /><strong>..ราคาที่ชาวไร่เห็นว่าสู้ได้ ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ?</strong><br />
หรือจะเอาปริมาณงาน/วันเป็นตัวตั้ง แล้วออกแบบไปเรื่อยๆ เสร็จเมื่อไหร่ถึงจะรู้ราคา<br /><strong>.. ปริมาณการตัดอ้อย/วัน ที่ชาวไร่เห็นว่าเหมาะสม ควรเป็นเท่าไหร่ ?</strong><br />
หรือจะตั้งโจทย์โดยพิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างเช่น
ปรับปรุงดัดแปลงจากรถไถเดินตาม ดัดแปลงจากรถไถเล็ก ดัดแปลงจากรถไถใหญ่..
ก็คงต้องช่วยๆ กันคิดนะครับ<br /><br />
<table bgcolor="#F1F1F1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="ntext" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="left" class="bluedouble" height="5"><div align="center">
<img border="1" src="http://oldweb.ocsb.go.th/uploads/webboard/A2914_3.jpg" vspace="5" /></div>
</td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" /></td>
</tr>
<tr>
<td align="center" class="bluedouble" height="3"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 98%px;">
<tbody>
<tr>
<td> .. โดยส่วนตัวเชื่อว่า "เครื่องสางใบอ้อย"
จะเป็นกุญแจอีกดอกหนึ่งที่จะช่วยไขประตูความฝันให้กับชาวไร่ได้
การใช้เครื่องสางใบอ้อยนำหน้าแรงงาน น่าจะช่วยให้แรงงานตัดได้เร็วขึ้น
ลดข้ออ้างที่ว่าไม่อยากตัดอ้อยสดเพราะตัดยาก ตัดได้น้อยกว่าอ้อยเผา
หรือกรณีใช้ร่วมกับเครื่องตัดขนาดเล็ก
จะช่วยให้เครื่องตัดอ้อยขนาดเล็กมีคุณภาพงานดีขึ้น คือตัดอ้อยสดได้
ถ้าปรับปรุงเครื่องสางใบอ้อยให้สามารถใช้งานได้จริงแล้ว
เรื่องเครื่องตัดขนาดเล็กเป็นเรื่องจิ๊บๆ เพราะมีรอให้ซื้ออยู่เยอะแยะ<br />
ผมว่า..แทนที่เราจะฝากความหวังไว้ที่การพัฒนาเครื่องตัดอ้อยราคาถูกแต่
เพียงอย่างเดียว เราน่าจะลองพิจารณาการพัฒนาเครื่องสางใบให้ใช้งานได้จริง
ซึ่งเราจะได้เครื่องมือราคาถูกกว่ามาก เพื่อสนับสนุนการตัดอ้อยสด
ไม่ว่าจะโดยแรงงาน หรือเครื่องตัดก็ตาม</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<br />
<br />
<br /><img height="5" src="http://oldweb.ocsb.go.th/Images/spacer.gif" width="10" />
<br />
ได้ยินมาว่า แต่ละปี
สอน.ค้นหาเพื่อมอบรางวัลสำหรับชาวไร่ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการไร่อ้อย
และใช้เงินงบประมาณอีกไม่น้อยในงานทดลองวิจัย.. เป็นไปได้หรือไม่ที่
สอน.จะเจียดเงินบางส่วนเพื่อตั้งเป็นรางวัลสำหรับนวัตกรรมหรือคำตอบทีดีที่
สุด ตามโจทย์ที่ตั้งไว้.. ไม่ใช่นวัตกรรมอะไรก็ได้ซึ่งนั่นเป็นงานของ
สวทช. แต่ขอให้เป็นไปตามโจทย์ของ สอน.เอง<br />
เช่น ถ้า สอน.จะตั้งรางวัลสัก.. สมมุติว่า 100,000
สำหรับเครื่องสางใบอ้อยที่ทำงานได้ดีที่สุด และเกินระดับที่กำหนด
ก็น่าจะสร้างแรงจูงใจให้นักประดิษฐ์ไทยสนใจลงสนามประลองปัญญา
โดยที่รู้ว่าปลายทางของการลงแรงลงความคิด จะไม่สูญเปล่า<br />
.. เคยมีส่วนร่วมในการออกแบบชิ้นงานด้านเครื่องกลของภาครัฐ
ซึ่งเมื่อดำเนินการไปค่อนทาง อยู่ระหว่างการทดสอบ
พบว่าการออกแบบเดิมจะใช้ไม่ได้ผลอย่างที่คาด
การใช้เทคโนโลยีใหม่จะได้ผลดีกว่า
แต่จำเป็นจะต้องดำเนินการต่อเพราะมีเงี่อนไขสัญญาเดิมบังคับไว้
สุดท้ายได้ชิ้นงานที่ตรงตามเงื่อนไข แต่ประสิทธิ์ภาพไม่สูงเท่าที่ควร..
ครับ ไม่มีการปรับปรุงต่อเพราะหมดงบและเจ้าของทุนมองว่าการทำต่อโครงการที่
2 เพื่อปรับปรุงชิ้นงานเดิม แสดงให้เห็นความไม่สมบูรณ์ของโครงการที่ 1 ..
ในอีกมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นความไม่รู้รอบของเจ้าของทุนหรือไม่<br />
.. การตั้งรางวัลสำหรับชิ้นงานที่สำเร็จแล้วจะให้ผลที่ต่างออกไป
นักออกแบบจะสามารถปรับเปลี่ยนหลักการหรือเทคโนโลยีได้ตลอดเวลา
ไม่ถูกจำกัดโดยเงื่อนไข ข้อบังคับ กฏระเบียบของทางราชการ
สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างอิสระโดยมุ่งความสำเร็จสูงสุดเป็นเป้าหมาย
แน่ล่ะ
นักออกแบบก็ต้องยอมรับการขาดทุนหากงานไม่สำเร็จหรือประสิทธิภาพสูงไม่เท่า
นักออกแบบรายอื่น..
ในส่วนของเจ้าของรางวัลจะไม่เสียค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณที่ตั้งไว้ ..
หรืออาจไม่เสียเลย..<br />
.. บังเอิญแอบได้ยินพี่ๆชาว สอน.คุยว่าปีนี้
สอน.ใช้เงินงบประมาณจำนวนมากเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับอ้อย..
หลายหัวข้อแทบจะต้องปีนบันไดไปนั่งฟังเพราะเป็นความรู้ระดับสูงส่งเป็น
อุดมคติเหลือเกิน ทำให้อดน้อยใจ เสียดายแทนชาวไร่อย่างเราไม่ได้
เพราะอันที่จริงประดาความรู้ที่ได้สั่งสมกันมานานยังหาโอกาสนำมาใช้ไม่ได้
เพราะไม่มีเงิน ไม่มีโครงการดีๆ สนับสนุน.. การรวบรวมองค์ความรู้ ณ
วันนี้จะได้นำไปใช้เมื่อไร ในลักษณะใดกันอีกหนอ<br />
.. อดคิดไม่ได้ว่า บางที ชาวไร่หน้าดำๆ
ก็ไม่ได้ต้องการความรู้ระดับบริสุทธุ์ สูงส่งชนิดที่จับใช้ไม่ถึง
แค่ต้องการ การสนับสนุนขั้นพื้นฐาน กับความรู้ระดับธรรมดาๆ
ที่ใช้ได้ผลจริงสักครึ่ง ก็ได้นะเออ..<br />
<br /><br /><br /><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-88476189810185530132013-04-16T05:40:00.003-07:002013-04-16T05:40:53.589-07:00การใช้ประโยชน์จากอ้อย 3การใช้ประโยชน์จากอ้อย 3<br /><br /><img height="300" id="irc_mi" src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/126/37126/images/ooi/ooy.jpg" style="margin-top: 47px;" width="297" /><br />
<h2 class="post-title entry-title">
<a href="http://xn--z3cva5i.blogspot.com/2013/04/1_16.html">การใช้ประโยชน์จากอ้อย 2</a></h2>
<span style="font-family: Sans Serif;"><strong></strong></span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif;"><strong><span style="font-size: x-small;">3. ผลิตผลที่ได้จากการหมัก<br /></span></strong></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif;"><strong> </strong></span><br />
<div align="justify">
<strong><span style="font-size: x-small;">3.1 เหล้ารัม</span></strong></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">น้ำ
เหล้าที่ได้จากการกลั่นเมรัยของน้ำอ้อย หรือกากน้ำตาล เราเรียกว่า
เหล้ารัม เหล้ารัมดูเหมือนจะเป็น
เครื่องหมายการค้าของอุตสาหกรรมน้ำตาลในแถบทะเลแคริบเบียน
ในสมัยโบราณมนุษย์รู้ว่าน้ำอ้อยถ้าเอาไปหมักจะทำให้ได้ เมรัยชนิดหนึ่ง
แต่กำเนิดของเหล้ารัมนั้นเพิ่งจะเริ่มเอาเมื่ออุตสาหกรรมน้ำตาลรุ่งเรือง
ขึ้นมา ในหมู่เกาะเวสต์อินดีสในคริตส์ ศตวรรษที่ 17
นี่เองในสมัยที่น้ำตาลจากอ้อยพ่ายแพ้น้ำตาลจากหัวผักกาดหวาน
บรรดาโรงงานน้ำตาลสามารถดำรงอยู่ได้ก็ โดยการผลิตเหล้ารัมออกมาจำหน่าย
ดังจะเห็นได้ว่าด้านหนึ่งของโรงงานน้ำตาลมักจะมีถังหมักเหล้า โรงกลั่น
และโรงเก็บเหล้า อยู่ใกล้ ๆ
จนแทบจะเรียกได้เป็นสัญญลักษณ์ของโรงน้ำตาลเลยทีเดียว </span></div>
<span style="font-size: x-small;">
ลักษณะการผลิตเหล้ารัมในอดีตนั้น อาศัยความชำนาญของผู้ผลิตเป็นเกณฑ์
ไม่มีการใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ หรือเคมีเข้าไปช่วยแต่อย่างใด
ความสามารถส่วนตัวของผู้ผลิตก็ไม่เคยเผยแพร่ให้ผู้ใดรู้นอกจากลูกหลานผู้สืบ
สกุลเท่านั้น
แม้แต่ลูกจ้างแรงงานที่เข้ามารับจ้างทำงานถือเสมือนว่ามาขอรับการถ่ายทอด
วิชาจากผู้ผลิต จึงได้รับค่าจ้างแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น
เล่ากันว่าผู้ผลิตเหล้ารัมบางยี่ห้อเมื่อหมักเหล้าได้ที่แล้ว
ต้องการหยุดปฏิกริยาของเชื้อยีสต์ก็จะโยนเนื้อ สักก้อนหนึ่ง
หรือซากสัตว์ตายสักตัวหนึ่งลงไปในถังหมักเพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นลักษณะ
เฉพาะตัวของเหล้ารัมยี่ห้อนั้น ๆ
ดังนั้นเหล้ารัมแต่ละยี่ห้อจึงมีรสชาติเฉพาะตัว ไม่มีการเลียนแบบกันได้
บางเจ้าของก็มักจะอ้างว่าที่เหล้ารัมของเขา มีรสชาติ
อร่อยก็เพราะเนื้อดินที่ปลูกอ้อยเอามาทำรัมนั้น
ไม่เหมือนใครผู้ผลิตเหล้ารัมแต่ละเจ้าของก็พยายามรักษา คุณสมบัติรสชาติ
เหล้ารัมของตนเองไว้
จวบจนถึงยุคน้ำตาลซบเซาเจ้าของที่ดินรายย่อยจำเป็นต้องมารวมกันเพื่อสร้าง
โรงงานน้ำตาลกลางขึ้น
จึงทำให้เจ้าของที่ดินรายย่อยหลายเจ้าของมารวมตัวกันเป็นบริษัทเดียว
แต่มีเหล้ารัมหลายยี่ห้อทั้งนี้ เพราะผู้ผลิตเหล้ารัม
แต่ละเจ้าของต่างก็พยายามรักษาสูตรของตัวไว้เป็นความลับถึงแม้เหตุการณ์ผ่าน
มานานเป็นศตวรรษ แต่เหล้ารัมยี่ห้อเก่าก็
ยังคงรักษารสชาติและกลิ่นของตัวเองตลอดมา </span><br />
<span style="font-size: x-small;">
เหล้ารัมที่ผลิตจากหมู่เกาะเวสต์อินดิส มักจะมีลักษณะเฉพาะตัว
มีกลิ่นและรสชาติพิเศษ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะ เหล้าเหล่านี้
ถูกหมักในถังหมัก ที่ไม่มีการถ่ายเท (pot stills)
ทำให้สารบางชนิดที่ประกอบอยู่ในน้ำอ้อย หรือกากน้ำตาลถูก
เชื้อยีสต์เข้าย่อยจนครบถ้วนขบวนการทำให้ได้สารเอสเทอร์ของเอธิลและบิวธิล
อาซีเตท ซึ่งเรียกเป็นภาษาตลาดว่า “อีเทอร์” ในเหล้ารัมที่จัดว่าเป็นพวก
“หนัก” จะมีอีเทอร์มากกว่ารัมที่เป็นพวก “เบา”
ในเหล้ารัมเราจะพบกรดอินทรีย์ อัลดีไฮด์ (โดย เฉพาะอาซีตัลดีไฮด์)
น้ำมันฟูเซล (fusel oil) และเฟอฟิวราลเหล้ารัมจากจาไมกามีกลิ่นหอมพิเศษ
เนื่องมาจากสารประกอบ ในน้ำอ้อยบางชนิดถูกสร้างขึ้นโดยบักเตรีชนิดอาซีติค,
แลกติก และบิวทีริค ในอดีตคอเหล้ารัมนิยมเหล้ารัม ชนิดหนักมาก
กว่าแต่เนื่องจากมันมีกลิ่นติดริมฝีปากอยู่นาน
ปัจจุบันคนจึงไม่ค่อยนิยมหันมานิยมชนิด “เบา” มากกว่าซึ่งชนิด “เบา” นี้ใช้
หมักและกลั่นในถังแบบคอลัมน์
และมีลักษณะคล้ายวิสกี้และยินมากกว่าถังหมักชนิดถ่ายเทได้ (continuous
stills) ทำให้
สามารถแยกกลิ่นที่ไม่ต้องการออกไปได้ทำให้เหล้ารัมในปัจจุบันนี้มีกลิ่นและ
รสชาติไม่เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม </span><br />
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">
เมื่อกลั่นออกมาใหม่ ๆ เหล้ารัมจะมีความแรง 40 ถึง 60 ดีกรี ไม่มีสี
แต่มีกลิ่นเฉพาะตัวเหมือนเหล้ารัม เมื่อจะส่งสู่ตลาดจึง
ผสมคาราเมลลงไปเพื่อทำให้มีสีน่าดื่ม ผู้ผลิตจะเก็บรัมไว้เพื่อให้ได้อายุ
และผสมกลิ่นสีให้ถูกใจผู้ซื้อเมื่อได้อายุตามที่ต้องการ </span></div>
<span style="font-size: x-small;">การ
ผลิตเหล้ารัมมีขบวนการคล้ายกับการผลิตแอลกอฮอล์มาก
เพียงแต่ว่ากากน้ำตาลที่นำมาผลิตแอลกอฮอล์นั้น ไม่มีการทำให้สะอาดเสียก่อน
และยีสต์ที่ใช้ใส่ลงไปก็ไม่บริสุทธิ์ ยีสต์ที่ใช้ก็คือ <em>Saccha-romyces cerevisiae</em>
ซึ่งมีอยู่มากมายหลายสเตรน (Strain)
และมักจะมีอยู่แล้วในน้ำอ้อยหรือติดอยู่ตามถังหมัก กากน้ำตาล 2 ถึง 3
แกลลอนจะ ผลิตปรูฟรัม (proof rum) ได้ 1 แกลลอน การเปลี่ยนแปลง
น้ำตาลจะเกิดขึ้นสมบูรณ์มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์และจาก ปรูฟรัมนี้
จะกลั่นแอลกอฮอล์ได้ 40-60 เปอร์เซ็นต์ </span><br />
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">
จนกระทั่งประมาณ ปี 1950 การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตรัม
ยังมีอยู่น้อยมาก ดังนั้น ประสิทธิภาพจึงต่ำ ผู้ผลิตก็ไม่
ติดใจที่จะปรับปรุงวิธีการให้ดีขึ้น เพราะวัตถุดิบมีต้นทุนต่ำ
ต่อมาจึงได้มีความต้องการเหล้ารัมชนิด “เบา” มากขึ้น จึงมีการไหว
ตัวตามตลาด โดยปรับปรุงการทำให้กากน้ำตาลบริสุทธิ์มากขึ้น
การคัดพันธุ์ยีสต์ที่ใช้ เหล่านี้ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น <br /></span></div>
<div align="justify">
<strong><span style="font-size: x-small;">3.2 อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์</span></strong></div>
<span style="font-size: x-small;">
ประเทศที่ผลิตน้ำตาลมาแต่ดั้งเดิมส่วนมากรู้จักทำแอลกอฮอล์จากกากน้ำตาล
ประเทศเกิดใหม่บางประเทศ
แม้จะไม่ปลูกอ้อยก็พยายามนำเข้ากากน้ำตาลจากประเทศอื่น
เพื่อนำไปผลิตแอลกอฮอล์ใช้ภายในประเทศ ปัจจุบันเทคนิค ในการผลิตแอลกอฮอล์
นับว่าได้ประสิทธิภาพสูงมากตรงตามทฤษฎี
ประเทศอาเยนตินาและไต้หวันรู้จักใช้แอลกอฮอล์ จากอ้อยสำหรับเติมรถแทรกเตอร์
และกำเนิดไฟฟ้ามานานหลายสิบปี ขบวนการผลิตแอลกอฮอล์จากกากน้ำตาลที่
เรียกว่า azeotropic process เป็นการผลิตแอลกอฮอล์แอนไฮดรัส (anhydrous
alcohol) ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินในท่อไอดีรถยนต์ หรือรถแทรกเตอร์
เนื่องจากแอลกอฮอล์แบบนี้ผสมกับเบนซินในอัตราส่วน 20-30 % ได้
ผิดกับแอลกอฮอล์ชนิดที่ใช้ทำเหล้า (rectified spirit)
นักวิทยาศาสตร์ของกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ทดลองเมื่อเร็ว ๆ นี้
พบว่า แอลกอฮอล์ผสม กับเบนซินอัตรา 14-25
เปอร์เซ็นต์ทำให้เครื่องยนต์ของรถยนต์เดินได้ดี
เรื่องการผลิตแอลกอฮอล์จากอ้อยนี้ เป็นเรื่องที่ กำลังสนใจกัน
โรงงานแอลกอฮอล์ของกรมสรรพสามิต
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาดำเนินการผลิตแอลกอฮอล์ จากกากน้ำ
ตาลมาเป็นเวลานานกากน้ำตาล inver
</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-45612342893047146442013-04-16T05:38:00.002-07:002013-04-16T05:39:12.675-07:00การใช้ประโยชน์จากอ้อย 2<h2 class="post-title entry-title">
การใช้ประโยชน์จากอ้อย2</h2>
<h2 class="post-title entry-title">
<a href="http://xn--z3cva5i.blogspot.com/2013/04/1.html">การใช้ประโยชน์จากอ้อย 1</a></h2>
<img height="300" id="irc_mi" src="http://sugar.mk-dorm.com/imgs/datas/20091004130943.jpg" style="margin-top: 47px;" width="400" /><br />
<br />
<span style="font-family: Sans Serif;"><b></b></span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif;"><b><span style="font-size: x-small;">2. กากน้ำตาล (Molasses)</span></b></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif;"><b> </b></span><br />
<span style="font-size: x-small;">เป็น
ของเหลวสีดำที่เหนียวข้น
ซึ่งไม่สามารถจะตกผลึกน้ำตาลได้อีกด้วยเครื่องจักรของโรงงานน้ำตาลธรรมดา
กากน้ำตาลเป็นเนื้อของสิ่งที่มิใช่น้ำตาลที่ละลายปนอยู่ในน้ำอ้อย
ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำตาลซูโครส น้ำตาลอินเวอร์ท (invert sugar)
และสารเคมีเช่น ปูนขาว ซึ่งใช้ในการตกตะกอนให้น้ำอ้อยใส
ส่วนประกอบของกากน้ำตาลจะปรวนแปรไม่แน่นอน
แล้วแต่ว่าได้มาจากอ้อยพันธุ์ไหนและผ่านกรรมวิธีอย่างไร
แต่มักจะหนีไม่พ้นน้ำตาลซูโครส น้ำตาลอินเวอร์ทกับน้ำ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">ปัจจุบัน
นี้
โรงงานน้ำตาลทันสมัยมีความสามารถในการสกัดน้ำตาลออกจากกากน้ำตาลได้เกลี้ยง
ที่สุด แต่ก็ไม่หมด เสียทีเดียว
เพราะถ้าสกัดให้ออกหมดจริงจะสิ้นค่าใช้จ่ายสูง
ดังนั้นจึงมีน้ำตาลซูโครสบางส่วนที่สูญเสียไปกับกากน้ำตาล
ซึ่งมักจะสูญเสียไปมากที่สุดกว่าที่สูญเสียไปทางอื่น โดยทั่วๆ
ไปจะมีซูโครสปนอยู่ในกากน้ำตาลเฉลี่ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ </span><br />
<div align="justify">
<b><span style="font-size: x-small;">2.1 ส่วนประกอบของกากน้ำตาล</span></b></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">ต่อไปนี้ คือ ส่วนประกอบของกากน้ำตาล 32 ตัวอย่าง ที่ได้จากโรงงานน้ำตาลในอาฟริกาใต้ ในปี 1957 จากโรงงาน 17 แห่ง</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">น้ำ 20.65</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">ซูโครส 36.60</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">รีดิวซิงชูการ์ 13.00</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">น้ำตาลที่ใช้หมักเชื้อได้ทั้งหมด 50.50</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">เถ้าของซัลเฟต 15.10</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">ยางและแป้ง (gum & starch) 3.01</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">แป้ง 0.42</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">ขี้ผึ้ง 0.38</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: x-small;">ไนโตรเจนทั้งหมด 0.95</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">ซิลิกา ในรูป SO<sub>2 </sub> 0.46</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;"> ฟอสเฟตในรูป P<sub>2</sub> O<sub>5</sub> 0.12</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;"> โพแทสในรูป K<sub>2</sub> O 4.19</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;"> แคลเซียมในรูป CaO 1.35</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;"> แมกนีเซียมในรูป Mg O 1.12</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;"> </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">
สิ่งสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของกากน้ำตาลก็ คือ
น้ำตาลที่ใช้หมักเชื้อได้ทั้งหมดซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก
กากน้ำตาลจากบางโรงงานมีส่วนประกอบนี้ ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 2 ใน 3
เป็นน้ำตาลชนิดอินเวอร์ท</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif;"><b><span style="font-size: x-small;">2.2 ประโยชน์ของกากน้ำตาล</span></b></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">อุตสาหกรรม
การผลิตเหล้าและแอลกอฮอล์ เป็นแหล่งใหญ่ที่ต้องการกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ
สำคัญในอุตสาหกรรม ผลิตน้ำตาลและแอลกอฮอล์
ผลผลิตที่ได้จากการหมักกากน้ำตาลได้แก่เอทิลแอลกอฮอล์ บิวธิลแอลกอฮอล์
อาซีโตน กรดซิตริก กลีเซอรอล (glycerol) และยีสต์ เอทิลแอลกอฮอล์ใช้ทำกรด
อาซีติค เอธีลอีเธอร์ ฯลฯ สารประกอบอื่นที่ ได้จากการหมักกากน้ำตาล ได้แก่
เอธิลอาซีเตท บิวธิลอา-ซีเตท อามีลอาซีเตท น้ำส้มสายชู
และคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง ในอดีตชาวเกาะเวสต์อินดีส
ผลิตเหล้ารัมจากกากน้ำตาล นอกจากนั้นถ้านำกากน้ำตาลที่ทำให้
บริสุทธิ์ไปหมักและกลั่นจะได้ เหล้ายิน (gin) ส่าเหล้าหรือยีสต์ที่ตายแล้ว
เป็นผลพลอยได้ซึ่งนำไปทำอาหารสัตว์ นอกจากนี้กากน้ำตาลยังใช้ทำยีสต์สำ
หรับทำขนมปังและเหล้าได้ด้วย ยีสต์บางชนิดที่ให้โปรตีนสูงคือ <i>Torulopsis utilis</i> ก็สามารถเลี้ยงขึ้นมาได้จาก กากน้ำตาล กากน้ำตาลสามารถนำมาทำกรดเป็นแลคติคได้ แม้ว่าจะทำได้น้อยมาก </span><br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">ใน
อดีตชาวปศุสัตว์ ใช้กากน้ำตาลผสมลงในอาหารสัตว์ แต่ก็มีขีดจำกัด กล่าวคือ
วัวตัวหนึ่งไม่ควรรับกากน้ำตาล เข้าไปเกิน 1.5 ปอนด์
สัตว์ชอบกินกากน้ำตาลคลุกกับหญ้าเพราะช่วยทำให้รสชาติดี
รวมทั้งการใส่กากน้ำตาลในไซเลจ (silage) อีกด้วย </span><br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">มี
ผู้วิจัยทดลองใส่แอมโมเนียลงใน กากน้ำตาล พบว่า
สามารถผลิตโปรตีนได้และสัตว์สามารถกินกากน้ำตาล
นี้เข้าไปและทำให้สร้างโปรตีนขึ้นในร่างกายสัตว์ได้
จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดที่กากน้ำตาลเป็นสารคาร์โบไฮเดรต สามารถถูกสัตว์
เปลี่ยนไปเป็นโปรตีน ได้ผลดี </span><br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">ส่วน
ประกอบสำคัญของน้ำอ้อยอีกชนิดหนึ่งก็คือ กรดอโคนิติค
ซึ่งจะผสมรวมอยู่ในกากน้ำตาล ซึ่งเราสามารถแยก
ได้โดยการตกตะกอนด้วยเกลือแคลเซียม
กรดอโคนิติคนี้มีความสำคัญในการผลิตยางสังเคราะห์ พลาสติก เรซิน และสาร
ชักเงา </span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: x-small;">ประโยชน์
สุดท้ายของกากน้ำตาลก็คือ การใช้ทำปุ๋ยหรือปรับคุณภาพดิน
กากน้ำตาลมีส่วนประกอบของโพแทสเซียม อินทรีย์วัตถุ และธาตุรองอื่น ๆ อีกมาก
นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับปรับสภาพดินทราย หรือดินเลวที่ไม่มีการเกาะตัว
เนื่องจากขาดอินทรีย์วัตถุอีกด้วย
ประโยชน์สุดท้ายใช้ผสมกับชานอ้อยสำหรับทำถ่านใช้ในครัวเรือน</span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-42927067422633506032013-04-16T05:36:00.004-07:002013-04-16T05:36:55.661-07:00การใช้ประโยชน์จากอ้อย 1<div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>การใช้ประโยชน์จากอ้อย</strong></span></div>
<div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong></strong></span></div>
<div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong><br /><img border="0" src="http://www.biogang.net/upload_img/blog/icon-blog-45971-6c9cf6f42bad528bef1bbdaf0a22f2aa.jpg" /></strong></span></div>
<div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong><br /></strong></span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>อ้อย<br /> </strong>เป็น
ไม้ล้มลุก สูง 2-5 เมตร ลำต้นสีม่วงแดง มีไขสีขาวปกคลุม ไม่แตกกิ่งก้าน
ใบเดี่ยว เรียงสลับ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 0.5-1 เมตร ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด
สีขาว ผลเป็นผลแห้ง ขนาดเล็ก<br /> </span><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><span style="font-family: Sans Serif;"><strong> </strong></span>อ้อย
มีหลายพันธุ์แตกต่างกันที่ความสูง ความยาวของข้อและสีของลำต้น
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก อ้อยที่นำมาคั้นน้ำสำหรับดื่ม
เป็นอ้อยที่ปลูกบริเวณที่ราบลุ่ม พื้นที่ดินเหนียว ประชาชนเรียกว่า
อ้อยเหลือง หรือ อ้อยสิงคโปร์ นิยมปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดอ่างทอง
พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เป็นต้น<br /><strong></strong></span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>น้ำตาลจากอ้อย</strong></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">น้ำตาล
ที่ได้จากอ้อยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 2 ชนิด คือ 1) centrifugal และ 2)
non-centrifugal ชนิดแรกเป็นน้ำตาลที่ถูกแยกเอาน้ำตาลโมลาส
หรือที่ชาวโรงงานน้ำตาลชอบ เรียกว่า น้ำเหลือง ออกจากผลึกของน้ำตาล
โดยวิธีอาศัยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (centrifugal) ส่วนน้ำตาลชนิดที่สอง
เป็นน้ำตาลที่ไม่มีการแยกเอาน้ำตาลโมลาสออก นอกจากนี้อาจจะมีน้ำตาลชนิดที่ 3
ได้เรียกว่า เป็นน้ำตาลชนิดไซรับ (syrup) เราเรียกว่า ไซรับ
เพราะมีลักษณะเป็นของเหลวข้น ไซรับเกิดจากโรงงานน้ำตาลขนาดเล็ก
หีบเอาน้ำอ้อยมาทำให้ข้น แล้วส่งไปทำเป็นน้ำตาลดิบ
หรือน้ำตาลทรายที่โรงงานน้ำตาลที่มีขนาดใหญ่กว่า
เราสามารถจัดกลุ่มน้ำตาลได้ดังนี้คือ </span> <span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> </span><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> </span><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> </span><table border="0" cellpadding="7" cellspacing="0" style="width: 619px;"> <tbody>
<tr><td valign="top" width="25%"><div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">Centrifugal sugar :</span></div>
</td> <td valign="top" width="75%"><ul>
<li><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">น้ำตาลดิบสามารถส่งไปทำเป็นน้ำตาลทรายขาว, ขาวพิเศษในโรงงานน้ำตาลใหญ่ต่อไปได้ </span></li>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> </span>
<li><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">น้ำตาล
ทรายแดง มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษต่าง ๆ เช่น golden brown, yellow,
washed grey, standard white, plantation white และ Khandsari </span></li>
</ul>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="25%"><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">Non centrifugal sugar :</span></td> <td valign="top" width="75%"><ul>
<li><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">มี
ชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษต่าง ๆ กัน เช่น Gur, jaggery, panela, desi
ปกติผลิตในโรงงานน้ำตาลขนาดเล็ก (cottage industries)
เพื่อใช้บริโภคในหมู่บ้าน ในกรณี ของน้ำตาล jaggery
ชาวบ้านนำไปใช้เพื่อทำเมรัยด้วยการหมักต่อไปอีก </span></li>
</ul>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="25%"><div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">Liquid sugars :</span></div>
</td> <td valign="top" width="75%"><ul>
<li><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">ได้แก่ น้ำตาลชนิดข้น มีชื่อเรียกเป็นภาษา อังกฤษ เช่น fancy molasse edible syrup </span></li>
</ul>
</td> </tr>
</tbody></table>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">นอก
จากจะหีบอ้อย เอาน้ำอ้อยไปทำ น้ำตาลแล้ว ส่วนประกอบส่วนอื่น ๆ
ของอ้อยที่เหลือ เช่น ชานอ้อย กากน้ำตาลหรือโมเลส (molasses) และขี้ผึ้ง
ฯลฯ ก็สามารถนำไปดัดแปลงให้เป็นประโยชน์ทาง อื่นได้อีกด้วย </span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong><div align="justify">
1. ชานอ้อย (bagasse)</div>
</strong></span><span style="font-size: small;">หมาย
ถึงเศษเหลือจากการหีบเอาน้ำ อ้อยออกจากท่อนอ้อยแล้ว
เมื่อท่อนอ้อยผ่านลูกหีบชุดแรก อาจจะมี
น้ำอ้อยตกค้างเหลืออยู่ยังหีบออกไม่หมด แต่พอผ่านลูกหีบชุดที่ 3-4
ก็จะมีน้ำอ้อย ตกค้างอยู่น้อยมาก หรือแทบจะไม่เหลือ อยู่เลย
คือเหลือแต่เส้นใยล้วนๆ ผลพลอยได้อันดับต่อมา ได้แก่ ฟิลเตอร์มัด (filter
mud) หรือบางแห่งก็เรียกฟิลเตอร์ เพรสเค็ก หรือฟิลเตอร์เค็ก
หรือฟิลเตอร์มัด (filter-press cake, filter or filter muck)
ซึ่งจะถูกแยกหรือกรองหรือ ทำให้น้ำอ้อยบริสุทธิ์โดยวิธีอื่นใดก็ตาม
สิ่งสกปรกที่แยกออกมาก็คือ ฟิลเตอร์เค็ก ผลพลอยได้ อันดับสุดท้ายจากโรง
งานน้ำตาลก็ได้แก่ กากน้ำตาล หรือโมลาส (molasses) ซึ่งมีลักษณะข้นเหนียว
สีน้ำตาลแก่ ที่ไม่ สามารถจะสกัดเอาน้ำตาล ออกได้อีกโดยวิธีปกติ </span><br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">ใน
อดีตใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิงสำหรับ ต้มน้ำในหม้อน้ำให้เดือดแล้ว
ใช้กำลังไอน้ำสำหรับเดินเครื่องจักรไอน้ำและสำหรับกำเนิดไฟฟ้าในระยะเวลาต่อ
มา ชานอ้อยในยุคก่อน ๆ ยังมีน้ำตาลที่หีบ ออกไม่หมดหลงเหลืออยู่มาก
และเป็นการสะดวกในการที่ป้อนชานอ้อยจากลูกหีบลูกสุดท้ายเข้าสู่เตาต้มน้ำ
หรือ boiler ได้ทันที ถึงกระนั้นก็ตามชานอ้อยก็ยังคงเหลืออยู่อีกมาก
เนื่องจากหม้อน้ำใช้ไม่หมดทำให้เกิดปัญหาในการกำจัด และทำลาย
ให้หมดไปจากบริเวณโรงงานแม้ว่าบางโรงงานในแถบเวสต์อินดีสจะดัดแปลงไปใช้
กลั่นเหล้ารัมหรือแอลกอฮอล์บ้าง ชานอ้อยก็ ยังคงเหลืออยู่มากมาย</span> <div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>1.1 การใช้ประโยชน์ชานอ้อยในการอุตสาหกรรม </strong></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">นัก
วิจัยได้พยายามคิดค้นหาวิธี นำชานอ้อยไปประดิษฐ์ใช้ให้เป็น
ประโยชน์แก่มนุษย์ผลสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
โดยการนำไปอัดเป็นแผ่นคล้ายไม้อัด และใช้ทำเยื่อกระดาษตลอด
จนพลาสติกและสารเฟอฟิวราล (furfural)
เป็นที่ทราบกันดีว่ากระดาษอัดที่ทำจากชานอ้อย มีคุณสมบัติเก็บเสียงได้ดี
และใช้ทำฝ้าเพดาน ตลอดจนใช้บุผนังห้องในบ้านหรือแม้แต่ในเรือและรถยนต์
ในบรรดาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ จากชานอ้อย
ต่างก็มีชื่อการค้าจดทะเบียนสิทธิ์ต่าง ๆ กัน เช่น ซีโลเท็กซ์ และเคเน็ก
(Celotex and Canec) เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม
คุณลักษณะของเส้นใยหรือไฟเบอร์ที่ได้จากอ้อยก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจของผู้ใช้
มากนัก หรือแม้แต่โรงงานทำเยื่อกระดาษ
ห่อของก็ยังต้องการให้ชานอ้อยมีเส้นใยยาวกว่านี้ </span> <div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">เมื่อ
มองในแง่ พลังงาน ซึ่งกำลังมีราคาแพงขึ้นในทุกวันนี้
ชานอ้อยแม้ว่าจะให้พลังงาน น้อยกว่าน้ำมันหรือถ่านหิน
แต่ก็เป็นผลพลอยได้ที่โรงงานน้ำตาลไม่ต้องลงทุนซื้อหามาเหมือนน้ำมัน
ปิโตรเลียม มีผู้คำนวณไว้ว่า ชานอ้อยหกตันที่มีความชื้นประมาณ 50
เปอร์เซ็นต์ มี ไฟเบอร์ประมาณ 46 เปอร์เซ็นต์ มีน้ำตาลเหลืออยู่ประมาณ 3
เปอร์เซ็นต์ จะมีความร้อนเทียบเท่ากับน้ำมันเตาหนึ่งตันทั้งนี้
ถ้าชานอ้อยยิ่งมีความชื้นน้อยมีเปอร์เซ็นต์ไฟเบอร์สูง
และมีน้ำตาลซูโครสที่เหลืออยู่สูงก็จะให้ความร้อนสูงมากยิ่งขึ้น
โดยวัดค่าความร้อนออกมาเป็น L.C.V. (lower calorific value)
ซึ่งจะมีค่าอยู่ระหว่าง 2,800 ถึง 3,700 B.T.U. ต่อปอนด์ </span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">การ
ทำเยื่อกระดาษจากชานอ้อยมี ประวัติมานาน
และมีผู้จดทะเบียนสิทธิ์มาตั้งแต่ปี 1838 ต่อมาก็มีการผลิตกระ ดาษชนิดต่าง ๆ
จากเยื่อกระดาษที่ได้จากชานอ้อย ในปี 1856 มีรายงานว่า
มีผู้ประดิษฐ์กระดาษชนิดกระดาษหนังสือ พิมพ์ได้จากชานอ้อย
จนกระทั่งปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยได้รุดหน้าไปไกล
มาก ชานอ้อยที่จะ ถูกนำมาแยกสิ่งสกปรกและสิ่งที่ละลายปนมาตลอดจน pith
ออกก่อนโดยวิธีทำให้เปียกแล้วทำให้แห้งทันที แล้วนำไป
ผสมกับเยื่อกระดาษที่ได้จากไม้ไผ่และเยื่อกระดาษจากกระดาษเก่าๆ (cellulosic
material) อีกวิธีหนึ่งในการแยก pith ออก ก็โดยวิธีที่เรียกว่า
ไฮดราพัลเพอร์ (hydrapulper) คือการใช้น้ำล้างอย่างแรงและชะให้ pith
แยกออกโดยผ่านตะแกรง หมุนแล้วทำให้แห้ง </span><br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">ใน
แง่ของการทำเยื่อกระดาษ เส้นใยของวัตถุดิบที่นำมาทำเยื่อนับ
ว่ามีความสำคัญที่สุด
อันดับต่อไปก็คืออัตราส่วนสัมพันธ์ระหว่างความยาวของเส้นใย
ต่อเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นใย นับเป็นความสำคัญถัดไป Barnes (1964)
ได้แยกอัตราส่วนดังกล่าวของพืชต่าง ๆ เทียบกับอ้อยไว้ดังนี้ </span> <div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>ตารางที่ 1 </strong> แสดงความยาวของเส้นใยวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ทำเยื่อกระดาษเปรียบเทียบกับ อ้อย </span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> <div align="justify">
<br /></div>
</span><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> </span><table border="1" cellpadding="7" cellspacing="1" style="width: 601px;"> <tbody>
<tr><td valign="top" width="29%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>เส้นใย</strong></span></div>
</td> <td valign="top" width="16%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>ความยาว (มม.)</strong></span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>เส้นผ่าศูนย์กลาง</strong></span></div>
<div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>(เฉลี่ย มม.)</strong></span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>อัตราส่วนของ</strong></span></div>
<div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>ความยาวกับเส้นผ่าศูนย์กลาง</strong></span></div>
</td> <td valign="top" width="15%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>ความยากง่ายในการทำเยื่อ*</strong></span></div>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="29%"><span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">เส้นใยเอสปาร์โต (esparto)</span></td> <td valign="top" width="16%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">1.10 - 1.50</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">0.009 - 0.013</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">110 - 120 : 1</span></div>
</td> <td valign="top" width="15%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">1</span></div>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="29%"><div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">ลำต้นของกก (reed)</span></div>
</td> <td valign="top" width="16%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">1.00 - 1.80</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">0.008 - 0.020</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">80 - 120 : 1</span></div>
</td> <td valign="top" width="15%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">2</span></div>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="29%"><div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">อ้อย</span></div>
</td> <td valign="top" width="16%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">1.70</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">0.02</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">85 : 1</span></div>
</td> <td valign="top" width="15%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">2</span></div>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="29%"><div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">ไม้ไผ่</span></div>
</td> <td valign="top" width="16%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">2.70</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> 0.014</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">200 : 1</span></div>
</td> <td valign="top" width="15%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">4</span></div>
</td> </tr>
<tr><td valign="top" width="29%"><div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">สน</span></div>
</td> <td valign="top" width="16%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">2.70 - 3.60</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">0.032 - 0.043</span></div>
</td> <td valign="top" width="20%"><div align="right">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">57 - 90 : 1</span></div>
</td> <td valign="top" width="15%"><div align="center">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">4</span></div>
</td> </tr>
</tbody></table>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">* 1 = ง่าย , 4 = ยาก </span></div>
<br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">ส่วน
ประกอบ ทางเคมีของชานอ้อยคล้ายกับของไม้เนื้อแข็ง (ไม้เนื้อแข็ง
ในแง่การทำเยื่อกระดาษ) ส่วนประกอบดังกล่าวปรวนแปรไปตามชนิดพันธุ์
อายุและสภาพที่อ้อยเติบโตขึ้นมา ชานอ้อยมีลิกนิน (lignin)
น้อยกว่าไม้ยืนต้น มีสารเพนโตแซน (pentosan) มากกว่าไม้สนไม้สปรูซ (spruce)
และไม้ยืนต้น อื่น ๆ บางชนิด ส่วนประกอบเซลลูโลส ชนิด Cross และ Bevan
ของอ้อยมีลักษณะคล้ายกับไม้ที่ใช้ทำกระดาษชนิดอื่น ๆ
ขี้เถ้าของอ้อยมีส่วนประกอบผิดแผกจากไม้ชนิดอื่น คือมี ซิลิกา (silica)
สูงมาก และมีโพแทสกับแคลเซียมต่ำ เส้นใยอ้อยยก เว้น pith
เหมาะสมที่จะนำมาทำเยื่อกระดาษมาก คือ จัดเป็นเยื่อชนิดดี และฟอกสีได้ง่าย
ข้อเสีย คือ จำเป็นจะต้องแยก pith ออกก่อนทำเยื่อและ pith
ที่แยกออกมาสามารถนำไปสังเคราะห์ทำอาหารสัตว์ได้โดยผสมกับกากน้ำตาล
หรือสามารถ ใช้ทำส่วนประกอบของวัตถุระเบิดได้ </span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">
การทำเยื่อกระดาษก็เพื่อที่จะละลายส่วนที่เป็นลิกนินและเฮมิเซลลูโลส
(hemicellulose) ออกจากชานอ้อย ลิกนินเป็นส่วน
หนึ่งซึ่งยึดเส้นใยของชานอ้อยให้ติดกัน
ทำให้ไม่สามารถทำให้ได้กระดาษแผ่นบาง ๆ ได้ ส่วนเฮมิเซลลูโลสถ้ามีอยู่เกิน
20% จะทำให้กระดาษที่ได้ขาดง่ายเกินไป ไม่เหนียวและหยุ่นตัว </span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">
ก่อนทำเยื่อกระดาษ จะต้องนำชานอ้อยมาล้าง และแยกส่วนที่เรียกว่า “พิท”
(pith) ออกก่อน เยื่อที่เหลืออยู่จะถูกนำ ไปย่อย หรือผสมกับส่วนผสมหนึ่ง
หรือมากกว่าตามสูตร ซึ่งมักจะปิดบังไม่เปิดเผย เสร็จแล้วนำไปผ่านความร้อน
10 - 12 นาที สิ่งที่ได้เรียกว่า เยื่อกระดาษ
ต่อมาเยื่อกระดาษจะถูกนำไปทำให้ขาวโดยการฟอกด้วยนม หรือสารเคมี
แล้วแต่ว่าจะนำ เยื่อกระดาษนั้นไปใช้ทำอะไร </span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>1.2 เฟอฟูราล (Furfural)</strong></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">เฟอ
ฟูราล ซึ่งเป็นสารประกอบที่สกัด ได้จากชานอ้อย มีชื่ออื่นอีก คือ ฟูรอล,
เฟอฟูรอล, เฟอฟูราลดีไฮด์ (furol, furfurol, furfuraldehyde)
เป็นสารเคมีที่ไม่มีสี ไม่ติดไฟมีกลิ่นหอมและระเหยได้ง่าย
เมื่อถูกแสงสว่างหรืออากาศจะเปลี่ยนเป็นสีแดงน้ำตาล เฟอฟูราล
ใช้ในอุตสาหกรรม กลั่นไม้และน้ำมันหล่อลื่น หรือใช้เป็นส่วนผสมของกาว
หรือตัวการที่ทำให้พลาสติกแข็งตัว นอกจากนี้เฟอฟูราลยังเป็นตัว
ละลายชนิดเดียวของสารบูตาดีน (butadiene) ในอุตสาหกรรมผลิตยางสังเคราะห์
และใช้ในอุตสาหกรรมเภสัชกรรม ส่วน
มากในปัจจุบันใช้เป็นวัตถุประกอบสำคัญในการผลิต “ไนลอน 5-6”
วัตถุดิบอื่นที่นำมาใช้ผลิตเฟอฟูราลได้อีก ได้แก่ ซังข้าว โพด
เปลือกข้าวโอ๊ต เมล็ดฝ้าย แกลบ และชานอ้อย ซึ่งวัตถุดิบต่าง ๆ
เหล่านี้ต่างก็มีเพนโตแซนและเซลลูโลส ซึ่งเมื่อถูกนำมา
ย่อยด้วยกรดซัลฟูริกเจือจาง ภายใต้อุณหภูมิและความดันสูงถึง 153
องศาเซลเซียส ก็จะได้สารเฟอฟูราลบริสุทธิ์ 98-99 เปอร์เซ็นต์
ส่วนที่เหลือสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหม้อน้ำ
และใช้ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ก็ได้ </span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">
ส่วนประกอบเพนโตแซนในชานอ้อยมีอยู่ประมาณ 24 ถึง 32 เปอร์เซ็นต์ และใน
pith จะมีอยู่ประมาณ 27.5 ถึง 33 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบันนี้ประเทศสาธารณรัฐโดมินิกันเป็นผู้ผลิตสารเฟอฟูราลได้มากที่สุด
คือประมาณ ปีละ 30 ล้านปอนด์</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>1.3 แอลฟา-เซลลูโลส (µ-cellulose)</strong></span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">เป็น
สารที่ควรจะเรียกได้ว่าเป็นสารขั้นต้นของเยื่อกระดาษซึ่งได้กล่าวถึงแล้ว
วิธีการสกัดสารนี้ ใช้วิธีของ de la Roza (1946)
ซึ่งได้จดทะเบียนสิทธิ์เอาไว้
ผลผลิตตามวิธีนี้จะได้เยื่อกระดาษแอลฟาเซลลูโลส จากการกลืนย่อยโดยใช้กรด
และด่างถึงประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">อีก
วิธีหนึ่งที่ ใช้สกัดแอลฟาเซลลูโลส เป็นวิธีของ Lynch และ Aronowsky
โดยการย่อย ด้วยกรดไนตริค ที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส
เสร็จแล้วล้างและทำให้สะเด็ดน้ำ แล้วย่อยต่อด้วยโซดาไฟ</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">สาร
แอลฟาเซลลูโลส นี้ นำไปผลิตสิ่งต่าง ๆ ได้อีก เช่น เซลโลเฟน เรยอง พลาสติก
วิสโคส (viscose) เซลลูโลสอาซีเตท ไนโตรเซลลูโลส
ซึ่งเป็นสารที่ใช้ทำวัตถุระเบิด เป็นต้น</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>1.4 พลาสติก (plastics) </strong></span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">พลาสติก
มีกรรมวิธีผลิตได้หลายวิธี วิธีหนึ่งก็คือ
การใช้ชานอ้อยที่บริสุทธิ์ปราศจาก pith ปั่นให้เป็นผง ใช้เป็นฟิล เลอร์
(filler) ของพลาสติก อีกวิธีหนึ่งก็คือ การใช้ลิกนิน (lignin)
บริสุทธิ์เป็นเนื้อพลาสติก เรียกว่าพลาสติกแท้ ชานอ้อย
เป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับทำพลาสติกมาก เนื่องจากหาได้ง่าย
ราคาถูกและมีส่วนประกอบทางเคมีเหมาะสมมาก ชานอ้อยมีส่วน ประกอบของลิกนิน 13
ถึง 22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับสารพลาสติไซส์
วัสดุอื่นที่ได้จากชานอ้อยในการแยกชานอ้อย เพื่อทำพลาสติก
ได้แก่สารอนิลินฟินอล และเฟอฟิวราล
ซึ่งแยกโดยการไฮโดรไลซ์เพนโตแซนในชานอ้อย </span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">กรรมวิธี
อีกแบบหนึ่ง ได้แก่
การย่อยชานอ้อยด้วยกรดซัลฟูริกเจือจางหรือย่อยด้วยน้ำผสมกับ อนิลิน
สารเฮมิเซลลูโลสจะถูกละลายออกมา ซึ่งจะทำให้
ส่วนประกอบที่เป็นลิกนินมีมากขึ้น
หลังจากนั้นก็ใช้สารละลายชะล้างสิ่งที่ละลายได้ออกไป
นำไปทำให้แห้งและบดเป็นผงนำไป ผสมหรือเข้าแบบหล่อร่วมกับสารพลาสติไซส์
จะได้สารชนิดหนึ่งที่มีประกายแข็งสีดำและไม่ละลายน้ำและเป็นฉนวนไฟฟ้า
สารที่ได้นี้สามารถนำไปผ่านกรรมวิธีได้สารเรซินที่เรียกว่า “โนโวแลค”
(Novolak) ซึ่งเป็นสิทธิจดทะเบียนของบริษัท ล็อค พอร์ดแห่งหลุยเซียนา</span><br />
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong><div align="justify">
1.5 โปรดิวเซอร์แก๊ส (Producer gas) </div>
</strong></span><div align="justify">
<span style="font-size: small;">ได้
มีผู้ค้นพบว่าชานอ้อยสามารถผลิตโปรดิวเซอร์แก๊สได้
ซึ่งเป็นสารที่ให้พลังงานเผาไหม้ชานอ้อยที่มีความชื้น 30-50 เปอร์เซ็นต์
สามารถนำมาผลิตแก็สที่มีค่าพลังงานดังต่อไปนี้ </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-size: small;">ส่วนประกอบเป็นเปอร์เซ็นต์ Calorific value</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">CO<sub>2</sub> 11.2 666 BTU/lb</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">CO 17.0 1,200 Cal/kg</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">CH<sub>4 </sub> 6.2 120 BTU/cu ft.</span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> Hydrogen 5.9 </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> Oxygen 0.3 </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> Nitrogen 59.4 </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"> </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">
เมื่อต้องการใช้จะต้องให้อากาศ 1 cu.ft
ทำปฏิกิริยากับแก๊สนี้ปริมาตรเท่ากัน อัตราการสิ้น
เปลืองชานอ้อยต่อหนึ่งแรงม้า/ชั่วโมง มีน้ำหนัก 0.9 ถึง 1.8 กิโลกรัม
ถ้าเผาชานอ้อยได้ความร้อนเท่ากับ 100 เปรียบเทียบกับ
โปรดิวเซอร์แก๊สน้ำหนักเท่ากันจะให้ความร้อนในการผลิตไอน้ำเท่ากับ 1.8
(เครื่องจักรชนิด non-condensing) และจะได้ ความร้อน 252 Btu
จากเครื่องจักรชนิด condensing engine </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;"><strong>1.6 การทำไม้อัดชนิด Medium density fiber particle board (MDFB)</strong></span></div>
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">
โรงงานน้ำตาลส่วนมากจะใช้ชานอ้อยเพื่อเป็นเชื้อเพลิงต้มหม้อน้ำ
เพื่อใช้ไอน้ำในการทำน้ำตาลและปั่นกระแส ไฟฟ้าในโรงงาน
ทุกปีจะมีชานอ้อยเหลืออยู่มากมายเป็นภาระแก่โรงงาน
ปัจจุบันมีโรงงานน้ำตาลในประเทศไทยอย่างน้อย
สองโรงงานที่ใช้ชานอ้อยเพื่อผลิตกระดานไม้อัดชนิดความหนาแน่นปานกลาง (MDFB)
การผลิตไม้อัดดังกล่าวถือเป็นความ ลับ ของโรงงานซึ่งไม่เปิดเผยแก่สาธารณชน
</span><br />
<div align="justify">
<span style="font-family: Sans Serif; font-size: small;">กรรมวิธี
การทำไม้อัด
เริ่มจากล้างทำความสะอาดชานอ้อยให้สะอาดปราศจากน้ำตาลโดยการใช้น้ำร้อนหรือ
ไอน้ำ ในถังล้างซึ่งหมุนรอบตัวเอง
เมื่อสะอาดแล้วชานอ้อยจะถูกส่งเข้าเครื่องทำไม้อัด โดยการผสมกับ resin
แล้วอัดลงในกรอบ
แผ่นไม้อัดที่ผ่านเครื่องออกมาจะยังคงอ่อนตัวและยังชื้นอยู่
ดังนั้นแผ่นไม้อัดจะถูกส่งเข้าสู่เครื่องรีดอัด เพื่อรีดน้ำออกและ
ทำให้แห้งให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
หลังจากนั้นก็นำมาตัดและอบให้แห้ง
ไม้อัดที่ได้จะไม่บิดเบี้ยวและทาสีได้ไม่ดูดสี
ไม้อัดที่ได้จะสามารถทำให้ทนต่อการทำลายของแมลง เชื้อรา
หรือทนต่อฝนหรือน้ำค้างก็สามารถทำได้โดยการอาบน้ำยา ไม้อัด
ดังกล่าวมักจะทำให้มีขนาด 153 x 350 ซม. มีความหนา 4 ถึง 40 มม.
เพื่อให้เหมาะสมแก่ความต้องการของตลาด (Langreney, F and Hugot, 1969)</span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1368044022492694430.post-20857055586386439192013-04-16T05:31:00.003-07:002013-04-16T05:31:25.654-07:00 อ้อยแดง (อังกฤษ:Sugar-cane)<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" id="ewt_main_structure" style="width: 78%px;"><tbody>
<tr valign="top">
<td background="" bgcolor="" height="160" id="ewt_main_structure_body" width="85%"><div>
<div>
<br />อ้อย หรือ อ้อยแดง (อังกฤษ:Sugar-cane, ชื่อวิทยาศาสตร์ <i>Saccharum officinarum</i>
Linn. GRAMINEAE ) ชื่ออื่นคือ อ้อยขม หรืออ้อยดำ เป็นไม้ล้มลุก สูง 2-5
เมตร ลำต้นสีม่วงแดง มีไขสีขาวปกคลุม ไม่แตกกิ่งก้าน ใบเดี่ยว เรียงสลับ
กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 0.5-1 เมตร ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด สีขาว ผลเป็นผลแห้ง
ขนาดเล็ก</div>
<div>
อ้อยมีหลายพันธุ์แตกต่างกันที่ความสูง ความยาวของข้อและสีของลำต้น
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก อ้อยที่นำมาคั้นน้ำสำหรับดื่ม
เป็นอ้อยที่ปลูกบริเวณที่ราบลุ่ม พื้นที่ดินเหนียว ประชาชนเรียกว่า
อ้อยเหลือง หรือ อ้อยสิงคโปร์ นิยมปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดอ่างทอง
พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เป็นต้น</div>
<div>
</div>
<div align="center">
<img alt="" border="0" height="593" src="http://www.thaibiocontrol.org/images/article/sugarcane/800px-Cut_sugarcane.jpg" style="height: 481px; width: 584px;" width="800" /><br /></div>
พ.ศ. 2550 ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี กรมวิชาการเกษตร
ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยขึ้นมาใหม่ คือ พันธุ์สุพรรณบุรี 80
ซึ่งได้จากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์แม่ 85-2-352 กับพันธุ์พ่อ K84-200
ใช้ระยะเวลาคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์นานกว่า 11 ปี มีลักษณะเด่น คือ
ให้ผลผลิตในอ้อยปลูกน้ำหนักเฉลี่ย 17.79 ตัน/ไร่ ให้ผลผลิตน้ำตาลเฉลี่ย
2.66 ตันซีซีเอส/ไร่
นอกจากนี้ยังสามารถต้านทานโรคเหี่ยวเน่าแดงและโรคแส้ดำได้ระดับปานกลางด้วย <br />
<div>
ตำรายาไทยใช้ลำต้นเป็นยาขับปัสสาวะ โดยใช้ลำต้นสด 70-90 กรัม หรือแห้ง
30-40 กรัม หั่นเป็นชิ้น ต้มน้ำ แบ่งดื่มวันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร
แก้ไตพิการ หนองในและขับนิ่ว แพทย์พื้นบ้านใช้ขับเสมหะ
รายงานว่าอ้อยแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะในสัตว์ทดลอง</div>
<div>
</div>
<div>
จากการเก็บข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในช่วงเดือน
มกราคม 2551 ถึงเดือนธันวาคม 2551 พบว่าน้ำตาลทรายทั้งน้ำตาลทรายดิบ
น้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ มียอดจำหน่ายรวม 4,882,364.75 ตัน
มูลค่าทั้งสิ้น 47,534,165,415.53 ล้านบาท ดังนั้นเป็นตัวชี้ว่า อ้อย
เป็นพืชที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศ </div>
<div>
<br /><span style="font-size: 10pt;">ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ </span><span style="font-size: 10pt;">http://www.ocsb.go.th/uploads/contents/43/attachfiles/F8574_ExportInt01122551.pdf</span></div>
<div>
</div>
<div>
<span style="background-color: tomato;">โรคของอ้อย</span>ที่สำคัญ
ได้แก่ โรคเหี่ยวเน่าแดง โรคแส้ดำ โรคใบขาว โรคกอตะไคร้
โรคใบขีดแดงและยอดเน่า โรคเน่าคออ้อย โรครากโคนเน่าจากเชื้อเห็ด
โรคกลิ่นสัปปะรด โรคลำต้นเน่า โรคเหี่ยว โรครากเน่า โรคใบจุดเหลือง
โรคราสนิม <br />ข้อมูลจาก :: ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี</div>
<div>
</div>
<div>
<span style="background-color: tomato; color: black;">แมลงศัตรูอ้อย</span>ที่
สำคัญ ได้แก่ หนอนกอลายเล็ก (ลายจุดเล็ก) , หนอนกอลายจุดใหญ่,หนอนกอสีชมพู
, หนอนกอสีขาว,
ด้วงหนวดยาวอ้อย,ด้วงงวงอ้อย,ตั๊กแตนปาทังก้า,ตั๊กแตนไฮโรไกลฟัส
หรือตั๊กแตนข้าว,ตั๊กแตนโลกัสต้า,เพลี้ยอ่อนสำลี,เพลี้ยแป้งสีชมพู<br />,แมลง
หวี่ขาวอ้อย,เพลี้ยกระโดดดำ,มวนอ้อย,เพลี้ยหอยอ้อย,แมลงนูนหลวง,หนอนบุ้ง,
ตั๊กแตนไมเกรทอเรีย,ตั๊กแตนผี,จิ้งหรีดทองดำ,เพลี้ยจั๊กจั่นแดง,เพลี้ยจั๊ก
จั่นหัวเหลือง,เพลี้ยจั๊กจั่นอ้อยสีน้ำตาล,เพลี้ยไก่แจ้อ้อย,เพลี้ยกระโดดไพ
ริลล่า,เพลี้ยอ่อนอ้อย,ด้วงกว่าง,ด้วงกุหลาบ,หนอนกัดโคนหน่ออ้อย,แมลงดำหนาม
อ้อย,หนอนสีครีม,หนอนเจาะยอดอ้อยผีเสื้อสีขาวขนสีน้ำตาล,หนอนเจาะยอดอ้อย
ผีเสื้อสีขาวขนสีชมพู,หนอนเจาะยอดอ้อยลายจุด,ไรอ้อยใยสีขาว,ไรอ้อยสีแดงหรือ
ไรข้าวฟ่าง,หนอนกอลายใหญ่,ปลวก <br /></div>
<div>
</div>
<div>
เข้าชมข้อมูลแมลงศัตรูธรรมชาติเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibiocontrol.org<br /></div>
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02212793447485208358noreply@blogger.com0